สปสช. เคาะจ้างงาน 'ผู้ดูแลผู้สูงอายุ' ภายใต้งบกระตุ้นเศรษฐกิจฯ

เมื่อวานนี้ (7 กรกฎาคม 2568) ที่ประชุมบอร์ด สปสช. ได้มีมติเห็นชอบหลักการแนวทางการบริหารค่าบริการสาธารณสุขสําหรับผู้มีภาวะพึ่งพิง เพื่อการจ้างงาน ผู้ช่วยเหลือ ดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิง ตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล พ.ศ. 2568 หรือ 'อาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุ' ที่มีภาวะติดเตียง

ตามที่คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบแผนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภายใต้กรอบวงเงิน 157,000 ลบ. เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2568 ทาง สปสช. ได้จัดทำคำของ 2 โครงการวงเงิน 4.6 พันล้านบาท โดยหนึ่งในโครงการที่สำคัญคือ ค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน

มีการเปิดเผยจากบอร์ดสปสช. ว่านโยบายดังกล่าวมีการดำเนินการตั้งแต่ปี 2559 แต่ที่ผ่านมาแนวคิดนั้นเป็นการสร้างดูแลในชุมชน และดูแลในอาสาสมัคร ซึ่งระบบดังกล่าวไม่ได้จูงใจพอ เพราะการดูแลเป็นภาระประจำต่อเนื่องและยาวนาน ซึ่งการใช้อาสาสมัครที่ไม่มีค่าใช้จ่ายนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้  

งบประมาณส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหาประเทศจึงนำกลับมาจ้างผู้ดูแลในชุมชน เพื่อสร้างงานให้แก่ผู้ดูแลมืออาชีพราว 1.8 หมื่นคน นอกจากนี้ผู้ป่วยติดเตียงจะสามารถได้รับการดูแลมากขึ้น และสามารถพัฒนาทักษะของผู้ดูแล และเชื่อมต่อกับรพ.สต. และโรงพยาบาลให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้นด้วย

สำหรับงบประมาณดังกล่าวเป็นงบเฉพาะกิจปีนี้ แต่สปสช.มองว่าควรทำต่อไปในระยะยาวเนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์แล้ว ซึ่งปีนี้จะมีผู้สูงอายุราว 21%  โดยมองว่าระบบของประเทศไทยนั้นถูกมาก ทั้งประเทศนี้น่าจะใช้งบประมาณปีละ 6 พันล้านบาท ในขณะที่ประเทศญี่ปุ่นมีประชากรผู้ป่วยติดเตียงมากกว่า 2 เท่า แต่ใช้งบประมาณ 4 ล้านล้านบาทต่อปี จึงมองว่าจะทำให้เป็นงบประมาณระยะยาวต่อไป

โดย นพ.จเด็จ ธรรมธรรชอารี เลขาธิการสปสช. ย้ำในภายหลังการประชุมว่า ขอย้ำว่างบประมาณที่ใช้นั้น เป็นงบกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้จัดสรรมาราว 1 พันล้านบาท เพื่อเป็นจุดตั้งต้นการดูแลผู้ป่วยติดเตียงต่อไป

สำหรับวงเงินของโครงการเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,115,268,300 บาท โดยคาดว่าจะมีผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ผู้ดูแลและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจำนวน 106,807 ราย และเกิดการจ้างงานผู้ช่วยเหลือดูแลผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชนราว 18,587 ราย โดยจะเป็นการจัดสรรค่าบริการสาธารณสุขเพื่อจัดบริการโดยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ทั้งนี้ ที่ประชุมได้เน้นย้ำถึงการกำหนดเป้าหมาย 'ผู้ดูแล' ว่าต้องไม่ได้รับการสนับสนุนเงินในภาครัฐอื่นๆ เช่น เงิน อสม. และให้เป็นการโอนเงินให้แก่ผู้ดูแลใหม่ๆ รวมไปถึงการสนับสนุนให้พิจารณาเพิ่มหลักสูตรในหน่วยงานเช่น กศน. เพื่อนำมาปรับใช้ได้กับโครงการต่อไป.