ตัวเลขผู้ป่วยโรคไตพุ่ง! เฝ้าระวังกลุ่มที่กินยาต้านอักเสบ
โรงพยาบาลราชวิถี กรมการแพทย์เตือนโรคไตตัวเลขผู้ป่วยพุ่งสูงแบบก้าวกระโดด ชี้กลุ่มทานยาแก้อักเสบเป็นประจำ- สมุนไพรไม่ทราบสรรพคุณเฝ้าระวัง
นายแพทย์จินดา โรจนเมธินทร์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า โรคไตเป็นปัญหาใหญ่ทั่วโลกในรอบหลายปีที่ผ่านมา สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และคนไทยมีแนวโน้มป่วยโรคไตเพิ่มมากขึ้น หากไม่ได้รับการตรวจหาสาเหตุและการรักษาที่เหมาะสม อาจนำไปสู่การเกิดโรคไตเรื้อรังและเกิดภาวะแทรกซ้อนจากโรคตามมาได้
สัญญาณของโรคไตที่สำคัญ คือ ตัวบวม เท้าบวม เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปัสสาวะมีฟอง ปัสสาวะมีเลือดปนหรือเป็นสีน้ำล้างเนื้อ รวมถึงมีความดันโลหิตสูงมาก
จึงต้องมีการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อหาความเสี่ยงของโรคไตในระยะเริ่มต้น เพื่อให้รักษาได้ทันท่วงทีและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง ที่อาจทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลง
- สาเหตุโรคไต กินยาต้านอักเสบเป็นประจำ!
ด้าน รศ.พญ.วรางคณา พิชัยวงศ์ นายแพทย์เชี่ยวชาญ กลุ่มงานอายุรศาสตร์ โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคไตเกิดได้จากปัจจัยหลายสาเหตุ และกลุ่มที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไต ได้แก่
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือไขมันในเลือดสูง
- ผู้สูงอายุ 60 ปี ขึ้นไป
- คนที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วน
- ผู้ที่คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคไต
- คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำทุกวัน
- ผู้ที่ใช้กลุ่มยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) เป็นประจำ
สำหรับอาการที่สังเกตได้ คือ ปัสสาวะมีความผิดปกติ เช่น มีฟองมากและมีเลือดเจือปน ปวดหลังหรือบั้นเอวข้างใดข้างหนึ่ง มีอาการบวมตามจุดต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น หน้าบวม ตาบวม หรือเท้าบวม เป็นต้น
ส่วนพฤติกรรมที่ควรปรับเปลี่ยน ได้แก่ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น รักษาระดับน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ งดอาหารหมักดอง รวมถึงการควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์
นอกจากนี้ควรงดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวด ยาสมุนไพรที่ไม่ทราบสรรพคุณ พร้อมกับ ใส่ใจสุขภาพตนเอง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคการตรวจเลือด ดูการทำงานของไตและการตรวจปัสสาวะ ถือว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่ง
- ประเภทของไตวายและวิธีการรักษา
ภาวะไตวายมี 2 ชนิด ได้แก่
- โรคไตเฉียบพลัน มักเกิดจากภาวะขาดน้ำ การติดเชื้อ หรือการได้รับสารพิษ การรักษามุ่งเน้นไปที่การแก้ไขสาเหตุของโรคและการรักษาตามอาการ เช่น การให้ยาปฏิชีวนะหากมีการติดเชื้อ การให้สารน้ำหากขาดน้ำ หยุดยา หรือสารที่เป็นพิษต่อไต
- โรคไตเรื้อรัง มักเกิดจากการเป็นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคไตอักเสบ หรือโรคทางพันธุกรรม การรักษามุ่งเน้นไปที่การชะลอการเสื่อมของไตและการรักษาภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ความดันโลหิตสูง ภาวะบวมน้ำ ภาวะเลือดเป็นกรด ภาวะโลหิตจาง ภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น ส่วนมากมีความจำเป็นต้องได้รับการบำบัดทดแทนไต
สำหรับแนวทางการรักษามีได้ 4 ทาง ได้แก่
- การล้างไตช่องท้อง
- การฟอกเลือด การฟอกไตทางหลอดเลือด เป็นการบำบัดทดแทนไต ที่ใช้ในการรักษาโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย โดยนำเลือดออกจากร่างกายไปฟอกด้วยเครื่องฟอกไต ซึ่งจะทำหน้าที่กำจัดของเสียและน้ำส่วนเกินออกจากเลือด แล้วนำเลือดกลับเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายจำเป็นต้องฟอกไต เป็นประจำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง
- การปลูกถ่ายไต เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
- การรักษา แบบประคับประคอง ทั้งนี้หากพบว่าตนเองมีความเสี่ยงเป็นโรคไต ดังนั้นควรให้พบแพทย์เฉพาะทางเพื่อการตรวจคัดกรอง เพื่อไม่ให้พัฒนาไปสู่โรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด


