ท่อง ‘ซินเจียง’ พลิกความแห้งแล้ง สู่ พื้นที่เกษตรกรรมสุดไฮเทค!
ท่อง ‘ซินเจียง’ พลิกความแห้งแล้ง สู่ พื้นที่เกษตรกรรมสุดไฮเทค! ที่กลายเป็นผู้ส่งออก 'มะเขือเทศ' มากที่สุดในโลก
KEY
POINTS
- เศรษฐกิจนำการเมือง นโยบายที่พา 'ซินเจียง' ก้าวข้ามความขัดแย้ง ทำอย่างไร?
- เรื่องราวของ 'มะเขือเทศ' เมื่อซินเจียงคือพื้นที่ปลูกมะเขือเทศมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก
- ส่องนโยบายพัฒนา 'การเกษตร' เพื่อเอาชนะความสภาพภูมิประเทศและสภาพภูมิอากาศ
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา โพสต์ทูเดย์ มีโอกาสได้เดินทางไปดูความก้าวหน้าทาง ‘เกษตรกรรม’ ใน ‘ซินเจียง’ หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ กับทาง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. ที่ได้นำ ‘เกษตรหัวขบวน’ ของไทยไปศึกษาดูงานความก้าวหน้าที่นั่น
ความเจ๋งของ ‘เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์’ ในวันนี้ต่างไปจากเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเป็นอย่างมาก
ผู้เขียนจำได้ว่า เคยมีเพื่อนซึ่งได้เดินทางมายังซินเจียงในช่วงเวลานั้น กลับมาเล่าให้ฟังว่า เมื่อเหยียบแผ่นดินซินเจียง ก็กลายเป็นคนโครงหน้าเอเชียเพียงสามคนที่นั่น และมีแต่สายตาของชาวอุยกูร์มองอยู่ตลอดเวลา ในช่วงเวลาที่เรื่องราวของชาติพันธุ์ ‘อุยกูร์’ ยังเป็นเรื่องเปราะบางบนแผ่นดินจีนและเกิดความขัดแย้งกระทบกระทั่งกันตลอดเวลา
ครานั้นจึงไม่ค่อยได้เห็น ‘ชาวฮั่น’ หรือ ‘ชาวจีน’ ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลักของจีนให้เห็นในซินเจียงมากนัก!
คำว่า ‘อุยกูร์’ คือ กลุ่มชาติพันธุ์มุสลิมที่มีภาษาพื้นเมืองเป็นภาษาอุยกูร์ และได้รับอิทธิจากอารยธรรมเอเชียกลาง ซึ่งใบหน้าของพวกเขานั้นมีความเป็นอาหรับ และมีอารยธรรมและศาสนาซึ่งต่างจากชาวฮั่นโดยสิ้นเชิง
แต่! (ขอตัวใหญ่ๆ) รัฐบาลจีนในยุคของ ‘เติ้งเสี่ยวผิง’ ซึ่งเป็นผู้วางรากฐานการปฏิรูปเศรษฐกิจครั้งใหญ่ อันเป็นหัวใจของความรุ่งเรืองของจีนในปัจจุบัน ได้มองยุทธศาสตร์ใหม่บนพื้นที่อ่อนไหวอย่างซินเจียง โดยใช้นโยบาย ‘เศรษฐกิจนำการเมือง’ มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการจัดการปัญหาความขัดแย้งและสร้างเสถียรภาพในพื้นที่
โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีให้หลัง หลังจากเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงปี 2009-2014 ที่บานปลาย จนเกิดการโจมตีและปะทะกันหลายครั้ง ทำให้ซินเจียงกลายเป็นพื้นที่ไม่ปลอดภัยในสายตาชาวโลก
ในช่วงนั้นรัฐบาลจีนประเมินว่าการจลาจลเกิดจากความยากจน ความเหลื่อมล้ำ และการว่างงานเป็นปัจจัยสำคัญ
หลังจากปี 2014 เป็นต้นมาจีนจึงทุ่มงบประมาณพัฒนาเศรษฐกิจในซินเจียงอย่างมหาศาล! ผนวกกับความฝันอันยิ่งใหญ่ของชาติจีน ที่จะสร้าง ‘เส้นทางสายไหมทางเศรษฐกิจแห่งศตวรรษที่ 21’ จึงทำให้ซินเจียงอยู่ในตำแหน่งภูมิศาสตร์สำคัญ ที่สามารถเชื่อมจีนเข้ากับเอเชียกลาง รัสเซีย ตะวันออกกลาง และยุโรปได้!
งบประมาณจำนวนมหาศาลที่ทุ่มมานั้น ตั้งแต่การสร้างสาธารณูปโภคสำคัญ เช่น ถนน รถไฟความเร็วสูง สนามบิน และเครื่องข่ายโทรคมนาคม รวมไปถึงภาคการเกษตรของซินเจียง ที่กิน GDP ของพื้นที่ไปกว่า 20% ครอบคลุมพื้นที่การเกษตรกว่า 37.5 ล้านไร่ หรือถ้าเทียบให้เห็นภาพก็คือ 1 ใน 3 ของพื้นที่การเกษตรของไทยทั้งหมด
- เริ่มต้นด้วยเรื่องของ ‘มะเขือเทศ’ ในซินเจียง
ซินเจียงมีผลิตผลทางการเกษตรหลากหลาย ที่ขึ้นชื่อก็คือ 'ฝ้าย' ซึ่งฝ้ายกว่า 90%ของจีนผลิตขึ้นในซินเจียง และคิดเป็น 20% ของผลผลิตฝ้ายโลก นอกจากนั้นซินเจียงยังขึ้นชื่อเรื่องผลไม้เช่น องุ่น แอปเปิ้ล เมลอน ฯลฯ ซึ่งได้เปรียบจากความต่างระหว่างอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนนี่มีความแตกต่างสูง
และพืชผลอีกชนิดหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงและนิยมเป็นอย่างมากในพื้นที่ก็คือ ‘มะเขือเทศ’
การเดินทางไปกับ ธ.ก.ส. ครั้งนี้ ได้เห็นถึงการเติบโตของ ‘มะเขือเทศ’ ซินเจียง ที่เรียกได้ว่าเติบโตเป็นอย่างดีท่ามกลางความท้าทายของธรรมชาติ
เพราะหากดูพื้นที่ของซินเจียงนั้น แทบจะเรียกได้ว่ามีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศที่ค่อนข้างโหดร้ายต่อเกษตรกรรม ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำฝนที่น้อยมาก เฉลี่ยเพียงปีละ 50-200 มิลลิเมตรในหลายพื้นที่
อุณหภูมิที่แตกต่างสูงมากในแต่ละวัน กลางวันก็ร้อนจัด ส่วนกลางคืนอากาศก็เย็นจัดโดยเฉพาะหน้าหนาวซึ่งอุณหภูมิเฉลี่ยในบางพื้นที่อาจต่ำถึง -30 องศาเซลเซียส
อีกทั้งยังเป็นมณฑลที่มีทะเลทรายขนาดใหญ่ครอบคลุมกว่าครึ่งหนึ่งของพื้นที่อีกด้วย!
และแน่นอนว่าท่ามกลางความร้อนกว่า 36 องศา ที่รู้สึกราว 46 องศามากกว่าในความคิดผู้เขียนนั้น การเข้าไปในตึกย่อมจะหย่อนใจได้ไม่น้อย
ตึกนี้ คือส่วนหนึ่งของ 'ศูนย์สาธิตและท่องเที่ยวเชิงพักผ่อนและวิทยาศาสตร์การเกษตรระดับ AAAA แห่งชาติ' ประจำ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีการเกษตรไว้อย่างน่าสนใจ นี่คือหนึ่งใน 9 ศูนย์ฯ ของจีน ที่ใช้เป็นสถานที่พัฒนาและทดลองเทคโนโลยีทางการเกษตร โดยที่นี่เน้นวิจัยเกี่ยวกับการปลูกฝ้ายและมะเขือเทศ
ในส่วนที่ผู้เขียนได้เข้าไปดูนั้นเป็นอาคารที่สามารถควบคุมสภาพภูมิอากาศได้ เป็นสถานที่ทดลองปลูกพืชแนวตั้ง และปลูกต้นกล้าของพืชผักชนิดต่างๆ
หากมองดูส่วนด้านบนของอาคาร ซึ่งทางผู้บรรยายประจำศูนย์ภูมิใจหนักหนาจนพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า
‘ ลิขสิทธิจีนๆ’
ทำให้ต้องเงยขึ้นไปมองกระจกลายทางข้างบน ซึ่งทางผู้บรรยายบอกว่า คือ กระจกที่สามารถลดทอนแสดงแดดสำหรับพืชผักไม่ให้ได้รับผลกระทบ ทำให้มีแสงเพียงพอสำหรับสังเคราะห์แสงแต่ไม่แรงจนทำให้พืชแห้งเหี่ยว ซึ่งเหมาะกับอากาศและแสงแดดของซินเจียงเป็นอย่างมาก และที่ภาคภูมิใจมากก็เพราะเทคโนโลยีนี้จากที่เคยนำเข้าจากต่างประเทศ ปัจจุบันจีนสามารถผลิตได้เองในราคาที่ถูกกว่านำเข้าหลายเท่านัก!
อีกส่วนที่น่าสนใจคือระบบควบคุมของอาคาร ที่ ‘อัจฉริยะ’ จนสามารถคุมได้ทั้งความชื้น อุณหภูมิ ออกซิเจน คาร์บอนไดออกไซด์ และมีการแจ้งเตือนไวรัส หรือแมลง หนอน ที่จะมาทำลายผลผลิต การใช้เทคโนโลยีเช่นนี้ทำให้ภายใต้อาคารขนาดใหญ่มีคนงานแค่เพียง 10 คนในการดูแลครบจบทุกกระบวนการ
นอกจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดจำนวนคนงานลงแล้ว สิ่งสำคัญคือ 'การเพิ่มผลผลิต' ซึ่งพบว่าสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าการปลูกตามสวนหรือไร่ธรรมดาถึง 10 เท่า เนื่องจากว่าหากปลูกตามพื้นที่ด้านนอกจะไม่สามารถปลูกพืชได้นานกว่าครึ่งปี
‘ พื้นที่แค่นี้ล่ะต้องลงทุนเท่าไหร่คะ’
ผู้เขียนพยายามสอบถาม แต่เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์วิจัยจึงไม่ได้มีการคิดคำนวนเรื่องจุดคุ้มทุนไว้ แต่ทั้งอาคารนี้มีการลงทุนไปกว่า 250 ล้านบาทครอบคลุมพื้นที่ 1.6 หมื่นตารางเมตร หรือราว 10 ไร่
‘แต่ถ้าคิดแค่พื้นที่ตรงนี้ 300 ตร.ม.’ ผู้บรรยายพยายามอธิบายจนทำให้หูผึ่งขึ้นมาทันที
ก็เพราะแค่พื้นที่ 300 ตร.ม. ซึ่งปลูกพืชแนวตั้งตั้งจะสามารถทำเงินได้กว่า 189,000 บาทต่อเดือนเลยทีเดียว!
สุดท้ายแล้วเมื่อสอบถามว่าโมเดลของศูนย์นี้ได้ถูกนำไปใช้ในฟาร์มหรือพื้นที่เกษตรกรรมที่ไหนบ้าง คำตอบคือ
‘มีธุรกิจที่ต้องการลงทุน โดยการสร้างโรงเรือนขนาดใหญ่ มากสุดคือ 3 แสนตารางเมตร หรือ 187 ไร่ ซึ่งนำไปใช้และได้คืนทุนในระยะเวลาเพียง 2 ปี’
ตอนที่ได้ยินนั้น หันขวับ! เพราะอะไรนั้นอยู่ในย่อหน้าถัดไป..
- คั่นด้วยเรื่อง ‘ความมั่นคงทางอาหาร’
ถ้าพูดถึงประเทศจีน ประเทศที่มีประชากรราว 1.4 พันล้านคน ‘ความมั่นคงทางอาหาร’ ถือเป็นโจทย์ที่รัฐบาลให้ความสำคัญมาโดยตลอด เพราะ ‘ต้องเลี้ยงคนจีนด้วยอาหารที่ผลิตในจีนเอง’ อย่างไรก็ตาม เมื่อดูเรื่องตัวเลข ก็ยังคงพบว่าจีนยังต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าเกษตรเป็นอันดับต้นๆ ของโลกอยู่ ซึ่งนำเข้าราว 8.5 ล้านล้านบาทต่อปี! โดยเฉพาะสินค้าประเภทธัญพืชเช่น ถั่วเหลืองและน้ำมันพืช ซึ่งเน้นการนำเข้าจากบราซิลและสหรัฐ
สำหรับประเทศไทย สินค้าเกษตรไทยที่ส่งไปจีนหลักๆ เช่น ทุเรียน มังคุด ลำไย ข้าว ยางพารา และแป้งมันสำปะหลัง ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกในปี 2023 อยู่ที่ 2.1 แสนล้านบาท
ตรงกันข้ามกับในส่วนของ 'พืชผักที่ไม่ใช่ธัญพืช' จีนกลับเป็นประเทศผู้ผลิตพืชผักรายใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งสามารถผลิตได้ราว 700 ล้านตันหรือ 50% ของผลผลิตผักทั่วโลก และมีการนำเข้าน้อยมาก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้จีนสามารถเป็นผู้ส่งออกพืชผักรายใหญ่ได้ก็คือ ‘เทคโนโลยีเรือนกระจก’ ที่ผู้เขียนได้ไปเห็นนี่แล! เพราะสิ่งนี้ทำให้จีนสามารถผลิตพืชผักได้ตลอดทั้งปีแม้ในพื้นที่แห้งแล้งอย่างซินเจียง
จึงไม่แปลกที่การลงทุนหลักร้อยล้านพันล้านของบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีน เพื่อลงทุนทำเรือนกระจกขนาดใหญ่ จะสามารถคืนทุนได้ภายในระยะเวลาไม่นาน!
แต่ที่ต้องหันขวับ ก็เพราะต้องกังวลกับราคาพืชผักในอนาคต หากจีนเร่งขยายการผลิตให้มากขึ้นกว่าเดิม ก็ยิ่งจะกระทบต่อตลาดพืชผักในประเทศอื่นๆ และแน่นอนว่าประเทศไทยก็ต้องโดนไปด้วยเช่นกัน
โดยพบว่าปริมาณการนำเข้าพืชผักจากจีนสูงถึง 49.4 % ในปี 2023 และมีแนวโน้มเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 8% เลยทีเดียว
- มาต่อกันที่เรื่องของ ‘มะเขือเทศ’
หันขวับกลับมาที่ความเป็นจริงเรื่องมะเขือเทศกันต่อ เมื่อทาง ธ.ก.ส.พาเดินทางไปยังสถานที่ดูงานแห่งใหม่ที่ ฐานปลูกหนานซาน ผู้เขียนได้เข้าไปในโรงเรือนขนาดพื้นที่ราว 1,300 ตารางเมตร สิ่งแรกที่ถูกหยิบยื่นให้คือ มะเขือเทศลูกสีดำ! ที่มีชื่อพันธุ์ว่า โบตั๋นดำ
สีของโบตั๋นดำ มาจากการเพิ่มสารแอนโธไซยานิน ซึ่งสามารถช่วยเรื่องต้านอนุมูลอิสระ ต้นเหตุของการอักเสบของเซลล์ และนำมาสู่โรคมะเร็งนานาชนิด
'ทำให้แก่ช้า' ผู้บรรยายพูดจบประโยคนี้เท่านั้น หันไปก็เห็นเกษตรกรไทยหลายคนรีบหยิบอีกลูกเข้าปาก!
โบตั๋นดำเป็นพันธุ์ที่ได้มาจากงานวิจัยของรัฐบาลจีน ที่อยากจะได้พันธุ์มะเขือเทศที่เพิ่มปริมาณและตอบโจทย์ผู้บริโภค สามารถให้ผลิตจากปกติต้นหนึ่งมีได้ 4 พวงเพิ่มเป็น 10 กว่าพวงเป็นอย่างต่ำ ภายใต้การดูแลที่เท่าเทียมกับพันธุ์ปกติ
เมื่อนักวิจัยของรัฐบาลจีนทำสำเร็จจึงส่งมอบเมล็ดพันธุ์ให้ชาวบ้านปลูกต่อไป ซึ่งสามารถเพิ่มมูลค่าจากเดิมที่มะเขือเทศราคาอยู่ที่ราว 15 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 200 บาทต่อกิโลกรัมได้สำเร็จ!
เมื่อกลับมาค้นข้อมูลต่อ ก็พบว่าจีนได้พัฒนาพันธุ์มะเขือเทศอยู่มากพอสมควร มีทั้งพันธุ์ที่สามารถทนโรคและเชื้อราได้ดี พันธุ์ที่มีผิวหนา ทนทานต่อการขนส่งระยะไกล ลดการเน่าเสีย หรือพันธุ์ที่ทนแล้งจัดและความร้อนสูงได้ โดยส่วนใหญ่จะเน้นพันธุ์ที่ให้ความหวานสูง เพื่อให้สามารถนำไปผลิตซอสมะเขือเทศคุณภาพสูง
เนื่องจากจีนเป็น ผู้ผลิตมะเขือเทศอันดับ 1 ของโลก ผลิตปีละประมาณ 65-70 ล้านตัน หรือมากกว่า 30% ของผลผลิตโลก และส่วนใหญ่จะนำไปทำเป็นซอสมะเขือเทศ!
ผู้เขียนเห็นโรงเรือนตั้งอยู่เรียงรายร่วมร้อยในพื้นที่นี้ ก็พบว่าโรงเรือนแต่ละโรงถูกชาวบ้านจับจองไปหมดแล้ว ผู้บรรยายประจำศูนย์เล่าว่า เมื่อชาวบ้านได้รับความรู้จากรัฐบาลเกี่ยวกับกับปลูกพืชในโรงเรือน ซึ่งสามารถปลูกได้ทั้งปี และสามารถควบคุมแสงและอุณหภูมิได้ ชาวบ้านจึงเข้ามาจับจองโรงเรือนจากรัฐบาล ซึ่งรัฐลงทุนสร้างและให้เกษตรกรมาเช่าในราคา 50,000 บาทต่อปี
ล็อตแรกนั้นรัฐบาลสร้างเพียง 100 โรงเรือน แต่พบว่าไม่พอ ในปีนี้จึงกำลังจะเพิ่มโรงเรือนอีกว่า 400 แห่ง!
เมื่อถามถึงรายรับก็พบว่าอยู่ที่ 500,000 - 1,000,000 บาทต่อปี ซึ่งเป็นรายรับหลังหักค่าใช้จ่าย ได้แก่ ค่าเช่าโรงเรือน ค่าเมล็ดพันธุ์ ค่าน้ำ และต้นทุนแรงงานที่เป็นส่วนซึ่งมีค่าใช้จ่ายมากที่สุด อยู่ที่วันละ 678 บาทต่อวันต่อคน
‘เป็นโมเดลที่น่าสนใจ’ ได้ยินเกษตรกรผู้ร่วมทริปเปรยๆ มาด้านหลัง
เมื่อกลับมาคำนวนงบประมาณที่รัฐบาลจีนลงทุนไปกับโรงเรือน 100 แห่ง ราว 250 ล้านบาท แต่ชาวบ้านกลับสามารถทำรายได้ต่อโรงเรือนสูงกว่าที่เคยทำข้างนอกหลายเท่าตัวนัก!
และก็คิดได้ว่า นี่เป็นอีกหลักฐานสะท้อนคุณภาพชีวิตที่ดี (นอกเหนือจากการที่รัฐบาลแจกบ้านคนละหลังถ้าย้ายมาอาศัยอยู่ที่ซินเจียงพร้อมที่ดิน 10 ไร่แล้วล่ะก็) ที่สะท้อนให้เห็นได้จากภาพของบ้านเมืองตลอดระยะเวลาการเดินทาง
นอกจากนี้ยังได้เห็นภาพ ‘ชาวอุยกูร์’ และ ‘ชาวฮั่น’ อยู่ในบริเวณเดียวกันได้อย่างที่ลบภาพเมื่อ 10 ปีก่อนออกไปได้เลย
การเดินทางครั้งนี้ ในความคิดแต่แรก คือ อยากจะนำบางอย่างกลับมาเป็นองค์ความรู้ให้แก่ประเทศไทย .. แต่กลับพบว่าองค์ความรู้ที่สำคัญที่สุดไม่ว่าจะอยู่ตรงฟากฝั่งไหนของโลกใบนี้คือ
ความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน การลดปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ คือ ต้นธารความคิดสำคัญของการพัฒนาที่ทุกประเทศควรยึดถือ เพราะนั่นคือที่มาของความสงบสุขของสังคมไม่ว่าจะอยู่ในระบอบปกครองใด หรือใช้เทคโนโลยีใดก็ตาม
สุดท้าย การพัฒนาดังกล่าวของจีน สะท้อนผ่านตัวเลขของสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (National Bureau of Statistics of China – NBS) ที่ประเมินว่าการพัฒนาบนแนวคิดดังกล่าวทำให้ GDP ต่อหัวของซินเจียงเติบโตขึ้นเฉลี่ยปีละ 7-8% และอัตราความยากจนในชนบทลดจากกว่า19% เหลือต่ำกว่า 2% และมีรายได้ของเกษตรกรเติบโตมากกว่า 2 เท่าใน 10 ปี!.
ขอขอบคุณ


