ไม่เกินกว่าจินตนาการ! เทคฯ BCI ช่วยผู้ป่วยอัมพาตขยับได้ตามใจคิด
ขยับได้ตามใจคิด! เทคโนโลยีทางการแพทย์ BCI เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ช่วยผู้ป่วยอัมพาต-ตาบอดแต่กำเนิด!
เชื่อว่าอีกไม่กี่ปีเราจะได้ยินเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ชื่อว่า BCI มากขึ้น!
BCI หรือ Brain-Computer Interface (BCI) คือ เทคโนโลยีที่เชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เพื่อช่วยให้สามารถ 'ควบคุมอุปกรณ์ด้วยความคิด' โดยไม่ต้องพึ่งกล้ามเนื้อหรือเสียง พูดง่ายๆ คือ 'แค่คิดทุกอย่างก็ขยับให้ดั่งใจนึก' ซึ่งเป็นความก้าวหน้าของวงการแพทย์ขั้นสูง และเป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยอัมพาตและโรคทางระบบประสาท
การทำงานของ BCI อาทิ เมื่อระบบตรวจจับสัญญาณไฟฟ้าจากสมอง (brain signals) หรือ ความคิด ก็จะแปลงสัญญาณนั้นให้เป็นคำสั่งให้คอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ทำงาน เช่น ให้แขนกลขยับตามความคิด หรือสั่งเก้าอี้รถเข็นเคลื่อนที่ตามจินตนาการของผู้ป่วย
แนวคิด BCI เริ่มต้นในช่วงทศวรรษ 1970 เมื่อศาสตราจารย์ Jacques Vidal มหาวิทยาลัย UCLA สหรัฐอเมริกา ตีพิมพ์งานที่ใช้สัญญาณคลื่นสมอง (EEG) ในการสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ (Vidal, J. J. Toward direct brain-computer communication, Annual Review of Biophysics and Bioengineering, 1973) หลังจากนั้นมีงานวิจัยต่อเนื่องในสัตว์ทดลองและมนุษย์เพื่อพิสูจน์แนวคิดดังกล่าว โดยในปี 1999 นักวิทยาศาสตร์จาก Brown University ทำการฝังอิเล็กโทรดในสมองลิง เพื่อสั่งแขนกลให้ขยับ ซึ่งสามารถทำได้อย่างแม่นยำ การวิจัยครั้งนั้นเป็นพื้นฐานของการพัฒนาจวบจบทุกวันนี้!
แนวคิด BCI มีรากฐานมาจากความเข้าใจพื้นฐานทางประสาทวิทยา โดยพบว่า สมองของมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ประสาท จำนวนมหาศาลที่สื่อสารกันผ่านการส่งสัญญาณไฟฟ้าเคมี เมื่อเราคิด รู้สึก หรือตั้งใจจะทำสิ่งใด จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของกิจกรรมทางไฟฟ้าในสมองที่มีรูปแบบเฉพาะเจาะจง
นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ยังรู้ว่า ทุกการกระทำที่มนุษย์ตั้งใจจะทำ ไม่ว่าจะเป็นการขยับมือ พูด หรือแม้แต่คิดถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ล้วนเริ่มต้นจากการ 'เจตนา' หรือ 'ความตั้งใจ' ที่เกิดขึ้นในสมองก่อนที่จะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาทไปยังกล้ามเนื้อ
จึงเชื่อว่า หากสามารถดักจับสัญญาณไฟฟ้าที่แสดงถึงเจตนาเหล่านี้ได้โดยตรงจากสมอง ก่อนที่มันจะถูกส่งไปยังกล้ามเนื้อ ก็สามารถนำสัญญาณเหล่านั้นมาแปลความหมายและสั่งการอุปกรณ์ภายนอกได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องให้ร่างกายเคลื่อนไหวจริง
BCI ความหวังของผู้ป่วยอัมพาตและโรคระบบประสาท
สำหรับประโยชน์ของเทคโนโลยี BCI ที่เด่นชัดที่สุดคงจะเป็นการช่วยผู้ป่วยอัมพาตหรือโรคทางระบบประสาท ให้สามารถควบคุมอุปกรณ์ช่วยเคลื่อนไหว เช่น แขนกล หุ่นยนต์ช่วยเดิน หรือคอมพิวเตอร์ได้ นอกจากนี้ยังมองว่า BCI จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการฟื้นฟูผู้ป่วยหลังโรคหลอดเลือดสมอง โดยช่วยกระตุ้นสมองให้สร้างเส้นทางประสาทใหม่ ช่วยให้ผู้ป่วยที่สูญเสียความสามารถในการสื่อสาร เช่น ภาวะ Locked-in syndrome สามารถพูดได้อีกครั้งผ่านการคิด และเป็นส่วนช่วยศึกษากลไกการทำงานของสมองในโรคต่างๆ เช่น พาร์กินสัน และโรคอัลไซเมอร์
BCI เป็นเทคโนโลยีที่ถูกแบ่งเป็น 3 ประเภท ขึ้นอยู่กับวิธีการนำมาใช้กับผู้ป่วย ได้แก่
วิธีที่ 1 BCI แบบรุกราน (Invasive BCI) เป็นวิธีการฝังอิเล็กโทรดลงในสมองแบบต้องผ่าตัดเปิดกะโหลก ซึ่งเป็นวิธีที่จะได้สัญญาณคมชัด แม่นยำ แต่เสี่ยงภาวะแทรกซ้อนหรือการติดเชื้อ
วิธีที่ 2 BCI แบบไม่รุกราน (Non-invasive BCI) เป็นการใช้เครื่องวัดคลื่นสมอง (EEG) สวมบนศีรษะ ไม่ต้องผ่าตัด เป็นวิธีการที่ปลอดภัย แต่สัญญาณมีคุณภาพต่ำกว่าแบบฝัง เพราะต้องผ่านกะโหลก
วิธีที่ 3 BCI แบบแทรกสอด (Interventional BCI) ซึ่งเป็นวิธีการใหม่และได้รับความสำเร็จเป็นอย่างมากในช่วงหลังๆ โดยการฝังอิเล็กโทรดผ่านหลอดเลือด ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงการผ่าตัดใหญ่ แต่ได้สัญญาณคุณภาพใกล้เคียงแบบรุกราน
คืบหน้าก้าวกระโดด 'สงครามเทคฯ จีนVSสหรัฐ'
หากย้อนไปตั้งแต่ปีแรกที่มีการวิจัยเรื่อง BCI นั้นก็เกือบ 60 ปีเข้าไปแล้ว แต่ด้วยพลังของ AI การกระโจนเข้ามาของบริษัทอย่าง Neuralink ของ อีลอน มัสก์ และบริษัทเอกชนอีกหลายแห่งทั้งจากจีนและสหรัฐฯ ทำให้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เทคโนโลยีดังกล่าวพัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2025 ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยหนานไข่ ประเทศจีน ประกาศความสำเร็จ การทดลอง BCI แบบแทรกสอดในผู้ป่วยจริงครั้งแรกของโลกโดยใช้ขดลวดอิเล็กโทรดฝังผ่านหลอดเลือดในคอ ซึ่งสามารถช่วยผู้ป่วยอัมพาตซีกซ้ายจากโรคหลอดเลือดสมองให้กลับมาขยับแขนเพื่อจับของและหยิบยาได้อีกครั้ง
ข้อมูลจาก China News (เผยแพร่เมื่อเมษายน 2025) ระบุว่า มณฑลหูเป่ยได้กำหนดราคามาตรฐานสำหรับการรักษาด้วยเทคโนโลยี BCI ทางการแพทย์ โดยค่ารักษาเฉลี่ยสำหรับผู้ป่วยรายหนึ่งจะอยู่ที่ 100,000–110,000 หยวน หรือราว 500,000–550,000 บาทไทย แม้ว่าจะอยู่ในขั้นตอนการทดลองทางคลินิก ภายใต้การกำกับของ National Medical Products Administration (NMPA) ซึ่งเป็นหน่วยงานเทียบเท่า FDA ของจีน และยังไม่ได้รับการอนุมัติการวางจำหน่ายในเชิงพาณิชย์ทั่วประเทศ แต่เนื่องจากจีนมีระบบการใช้งานเชิงพิเศษ/นำร่องในโรงพยาบาลที่ร่วมโครงการ ทำให้สามารถเริ่มใช้จริงกับผู้ป่วยบางรายในโรงพยาบาลรัฐที่เข้าร่วมโครงการได้ โดยอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างใกล้ชิด
ในขณะที่ฝั่งของยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกา ที่ขึ้นชื่อเรื่องความเข้มงวดของการขึ้นทะเบียนยาและเครื่องมือแพทย์เป็นอย่างมาก ก็มีความคืบหน้าเช่นกัน ล่าสุด (วันที่ 28 มิถุนายน 2568) บริษัท Neuralink ของ อีลอน มัสก์ ได้อัปเดตความก้าวหน้าครั้งสำคัญในช่วงฤดูร้อนปี 2025 ตั้งแต่ ผลิตภัณฑ์ Telepathy เพื่อช่วยผู้ป่วยที่สูญเสียการควบคุมร่างกาย เช่น ผู้ที่บาดเจ็บไขสันหลัง (Spinal Cord Injury - SCI) หรือผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) ทำให้ผู้ใช้งานสามารถควบคุมคอมพิวเตอร์ได้เพียงแค่คิด โดยปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมการทดลองแล้ว 7 ราย โดยมีชั่วโมงการใช้งานเฉลี่ยสูงถึง 50 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ และบางรายใช้งานสูงสุดมากกว่า 100 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
นอกจากนี้ ยังมีการนำเทคโนโลยี BCI ไปแก้ไขความผิดปกติอื่น เช่น Blindsight เพื่อฟื้นฟูการมองเห็นให้กับผู้ที่ตาบอดสนิท แม้แต่ผู้ที่ตาบอดแต่กำเนิด โดยจะเชื่อมต่อโดยตรงกับ Visual Cortex ในสมอง เพื่อช่วยให้ผู้ป่วยตาบอดสามารถมองเห็นได้ โดยมีเป้าหมายที่จะมีผู้เข้าร่วมโครงการ Blindsight รายแรกในปี 2026 และ Elon Musk ระบุว่าอาจจะช่วยให้คนตาบอดมองเห็นได้ภายใน 6-12 เดือน
ความคืบหน้าทั้งฝั่งจีนและสหรัฐฯ นั้นเกิดขึ้นจากการสนับสนุนของงบประมาณและเงินทุนมหาศาล สำหรับฝั่งจีน การผลักดันนี้ เกิดจากการที่รัฐบาลท้องถิ่นหูเป่ยต้องการผลักดันให้เทคโนโลยี BCI เป็นหนึ่งใน 'โครงการนำร่องทางการแพทย์' เพื่อรองรับนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมสมองและระบบประสาท ตามแผน Healthy China 2030 ซึ่งรัฐบาลจีนกำหนดให้จังหวัดต่างๆ ทดลองใช้เทคโนโลยีใหม่ร่วมกับโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย ขนานกับการรอขึ้นทะเบียนใช้งานจริง เพื่อให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้เร็วขึ้น โดยรัฐบาลจีนมีการจัดสรรงบให้ผ่านกองทุนประกันสุขภาพท้องถิ่น
ส่วน Neuralink ซึ่งวางแผนในอนาคตโดยมีเป้าหมายสูงสุดในปี 2028 ที่จะใช้ช่องสัญญาณมากกว่า 25,000 อิเล็กโทรด เพื่อให้สามารถเข้าถึงทุกส่วนของสมองและผสานการทำงานร่วมกับปัญญาประดิษฐ์ AI ได้ ก็ทุ่มเงินทุนมหาศาลของบริษัทลงไปกับนวัตกรรมเปลี่ยนโลกช้ินนี้ ซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่าโลกจะได้เห็นและได้ใช้นวัตกรรมนี้เร็วกว่าที่คิด.


