‘กัญชา(ไม่)เสรี’ ฉายภาพชัด! นโยบายสาธารณสุขไทยภายใต้ ‘การเมือง’
‘กัญชา(ไม่)เสรี’ ฉายภาพชัด! ตัวอย่างนโยบายสาธารณสุขไทยภายใต้ ‘การเมือง’ นำ 'ความปลอดภัยของประชาชน' ภาพซ้ำที่ยังวนเวียน
ท่าทีการเปิดๆ ปิดๆ ของนโยบาย ‘กัญชา’ ในประเทศไทย ทำให้ต้องตั้งคำถามถึงประเด็นสำคัญอย่างยิ่งยวดว่า การออกนโยบายของกระทรวงสาธารณสุขไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคสมัยนั้น ตั้งอยู่บน ‘ความสำคัญ’ ใด?
กระทรวงสาธารณสุข แม้ปัจจุบันจะเดินเครื่องอย่างเต็มสูบมายัง ‘นโยบายเศรษฐกิจสุขภาพ’ แต่ก็เป็นกระทรวงที่ยึดโยงอยู่กับ ‘ความปลอดภัยของประชาชนเป็นที่ตั้ง’
หากย้อนไปดูปีของการจัดตั้งกระทรวงอย่างเป็นทางการในวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2485 ในสมัยรัฐบาลของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้มีการเซ็ตวัตถุประสงค์หลักจากพรบ.ปรับปรุงกระทรวงทบวงกรม พ.ศ.2485 ว่า
การจัดตั้งกระทรวงสาธารณสุขเป็นไปเพื่อรวมงานด้านการแพทย์และสาธารณสุข ส่งเสริมสุขภาพของประชาชน และคุ้มครองประชาชนจากโรคภัยและการระบาด
แล้วนโยบายกัญชาล่ะเป็นไปเพื่ออะไร?
ย้อนไทม์ไลน์คร่าวๆ จะพบว่า ครั้งอดีตตั้งแต่ปี พ.ศ.2522 ได้จัดกัญชาเป็นยาเสพติดประเภท 5 คือห้ามใช้ทุกกรณี
ผ่านมากว่า 39 ปี ในปีที่นายแพทย์ปิยะสกล สกลสัตยาทร ดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงสาธารณสุข ภายใต้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ได้เริ่มผลักดันกัญชาเพื่อกรแพทย์ โดยร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา แต่ยังห้ามไม่ให้มีการเสพทั่วไป
ผ่านมาเพียง 1 ปี พรรคภูมิใจไทย นำโดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล ในปี 2562 ช่วงเวลาต้นปีทางพรรคก็ชูนโยบาย ‘กัญชาเสรี’ ชูว่าปลูกที่บ้านได้ 6 ต้น และส่งเสริมเป็นพืชเศรษฐกิจ และในช่วงกลางปีนายอนุทิน ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งรมว.กระทรวงสาธารณสุข และมีการเร่งปลอดล็อก รวมถึงนิรโทษกรรม 90 วันแก่ผู้ครอบครองกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์
ต่อมาวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2565 คือวันประวัติศาสตร์ เพราะเป็นวันที่รัฐบาลประกาศปลดล็อกกัญชาและกัญชงออกจากบัญชียาเสพติด ภายใต้การกุมบังเหียนนโยบายสาธารณสุขของ ‘อนุทิน ชาญวีรกูล’ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีควบด้วย
ใจความสำคัญขอประกาศที่ออกมาในปี พ.ศ.2565 เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. 2565 ได้มีการปลดล็อกพืชกัญชาทั่วไปที่ไม่ใช่สารสกัด และเลื่อนฐานะเป็นสมุนไพรควบคุม กำหนดเงื่อนไขสำหรับคนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปีห้ามครอบครอง และมีการยกเลิกการดำเนินคดีที่ค้างไว้ทุกคดีเกี่ยวกับกัญชาที่เกิดก่อน 10 มิถุนายน 2565
เพียงแค่ปีเดียวมีสถิติของศูนย์ศึกษาปัญหายาเสพติด คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุงานวิจัยพบว่าเยาวชนสูบกัญชาเพิ่ม 10 เท่า หลังปลดล็อกกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด ในปี 2566-2567 ช่วงของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย มีการเร่งออกฎหมายควบคุม มีการยกร่างหลายครั้งแต่ก็ไม่สำเร็จ
สะท้อนผ่านคำสัมภาษณ์ของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ที่บอกกับผู้ประกอบการ นักลงทุน และนักธุรกิจ เมื่อวานนี้ (25 มิถุนายน 2568) ตอนหนึ่งว่า
“ การที่เกิดปัญหาในวันนี้ เนื่องจากการทำกฎหมายที่ไม่รอบคอบ มีความไม่พร้อม ทำไม่ทัน แสดงว่าคนไม่เห็นด้วยเยอะ กฎหมายเข้าสภากี่ครั้งก็สะท้อนกลับ ไม่จบแล้วจะโทษใคร ถ้าวันนั้นออกเป็นพ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาชาวบ้านให้เป็นทางการแพทย์มีใบรับรองแพทย์ จะไม่วุ่นวายแบบนี้”
ซึ่งท่าทีของพรรคเพื่อไทยในยุคของเศรษฐาฯ พยายามดึงกัญชากลับเป็นยาเสพติดประเภท 5 และใช้เฉพาะทางการแพทย์ให้จงได้ แต่แน่นอนว่าพรรคที่มีเสียงของ ‘ภูมิใจไทย’ ที่ยังหวานชื่นกันอยู่ ณ ขณะนั้นร่วมด้วย กลับไม่สามารถผลักดันให้ไปไกลขนาดนั้นได้ ทำได้แค่เพียง ห้ามใช้เชิงนันทนาการ
จนกระทั่งถึงคราวของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เพื่อลดกระแสสังคมที่ต่อต้านจึงได้เปิดรับฟังความคิดเห็นในช่วงปี 2567 และวันที่ 23 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมาจึงได้เห็นประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องสมุนไพรควบคุม (กัญชา) ปี 2568 ทำให้กัญชาไม่เสรีอีกต่อไป แต่กลับไปใช้เป็นสมุนไพรควบคุมเพื่อทางการแพทย์เท่านั้น เฉกเช่นปีก่อนที่ ‘พรรคภูมิใจไทย’ จะกระโดดมาเล่นนโยบายกัญชาเสรี!
ไทม์ไลน์การประกาศกฎกระทรวงครั้งนี้ เรียกว่าคาบเกี่ยวกับการลาออกจากพรรคร่วมรัฐบาลของ ‘พรรคภูมิใจไทย’ แม้ว่าในสมัยของรมว.สมศักดิ์ จะมีการดำเนินการมาก่อนแล้ว แต่การออกประกาศครั้งนี้เหมาะเหม็ง! เท่าทันเหตุการณ์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยืดเยื้อมานานหลายปี
จนกระทั่งนักธุรกิจ นักลงทุน และผู้ประกอบการที่ลงทุนกับธุรกิจกัญชา ต้องออกมาแสดงความกังวล ว่าใครจะรับผิดชอบธุรกิจที่ลงทุนไปแล้วของพวกเขา! แม้ว่าประกาศดังกล่าวจะไม่ได้มีการนำกัญชากลับสู่บัญชียาเสพติดเช่นในอดีต แต่ความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยและเพื่อไทย อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ไม่ต้องเกรงใจกันอีกต่อไป
เมื่อฟังจากคำพูดของนายสมศักดิ์ วานนี้ว่า
" ตนไม่ได้อยากขัดแย้งหรือทำให้ท่านต้องปวดหัว แต่มาช่วยแก้ไขและขอให้แก้ไขปัญหาร่วมกัน หากอนาคตมีการเปลี่ยนแนวทาง ถ้าทำวันนี้ให้เรียบร้อยก็จะได้เดินกันแบบสบายใจ เพื่อให้ยืนยันกันด้วยว่าถ้าต้องขอต่อใบอนุญาตหรือขอใบอนุญาตใหม่ในกรณีที่เปลี่ยนแปลงไปจากสมุนไพรควบคุมเป็นยาเสพติด จะไม่มีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น"
ก็ค่อนข้างชัดเจนถึงแนวทางต่อไป!
.
.
.
หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ คงคิดว่าเป็น 'ปกติของเกมการเมือง' .. แต่อยากชวนให้มองลึกไปอีกสักนิดว่า 'นโยบายของกระทรวงสาธารณสุข' มีความแตกต่างและมีจุดที่ต้องกังวลมากกว่ากระทรวงอื่นๆ เนื่องจากนโยบายเหล่านั้นกระทบกับชีวิต สุขภาพ และความปลอดภัยของประชาชนโดยตรง
ตลอดระยะเวลา 6 ปี ที่นโยบายกัญชา ‘กลับกลอก’ ตามอำนาจการเมือง .. คำถามคือ แล้วความปลอดภัยของประชาชนอยู่ที่ตรงไหน? กฎหมายควบคุมที่ไม่รัดกุมตั้งแต่แรกอย่างที่รมว.สมศักดิ์กล่าวนั้น เริ่มต้นมายังไง จะไม่มีคนเก่งสักคนในกระทรวงฯ เลยหรือที่จะไม่เห็นช่องว่างดังกล่าว?
กลับไปที่จุดประสงค์เริ่มต้นของกระทรวงสาธารณสุข การจะออกนโยบายใดๆ ต้องเกิดขึ้นเพื่อเสริมสุขภาพของประชาชน และคุ้มครองประชาชนจากโรคภัยและการระบาด ไม่ใช่เพื่อ ‘พรรค’ ใคร หรือ เพื่อ ‘พรรคร่วม’ ใด ไม่ใช่หรือ?
‘นโยบายกัญชา’ จึงเป็นตัวอย่างชั้นดีที่เห็นถึงการใช้ ‘นโยบายการเมือง’ นำ ‘สาธารณสุข’ ซึ่งหมายถึง ‘ผลประโยชน์’ นำ ‘ความปลอดภัยของประชาชน’
ย้อนมาดูทุกวันนี้ ยังเห็นปัญหาของกระทรวงฯ ที่คั่งค้างและกระทบกระทั่งกันอยู่อีกมากจากนโยบายฝั่งการเมือง
ไม่ว่าจะเป็น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกที่ ซึ่งถูกมองว่าเป็นนโยบายประชานิยมของพรรคเพื่อไทย ซึ่งถอยไม่ได้ ( ซึ่งโพสต์ทูเดย์จะหยิบมาพูดถึงในบทความต่อไป)
นโยบาย ATMPs ซึ่งเห็นท่าทีของอดีตนายกทักษิณ ที่ออกมาผลักดันเต็มที่ ต่อด้วยนายสมศักดิ์รับลูกร่ำๆ ว่าจะมีให้ใช้ปีหน้า และพูดถึงขั้นว่าจะเอาไปใช้ในสิทธิบัตรทอง แต่ในขณะเดียวกันก็ยังไม่เห็นผลวิจัยใดของไทยที่ก้าวหน้าเพียงพอจะเท่าทันไทม์ไลน์ จนไม่รู้ว่าหยิบ ‘ยา’ ตัวนั้นมาจากไหน?
หรือแม้แต่เรื่องของ นโยบายอสม. ที่ก็ถูกมองว่าเป็นการรักษาฐานเสียงเลือกตั้งสำคัญ นอกจากนี้ยังผูกโยงกับเรื่องของโครงการ NCDs ที่ก็ยังไม่สามารถวัดผลของโครงการได้อย่างชัดเจนจากงบประมาณที่เพิ่มลงไป!
ท้ายนี้ ขอย้ำอีกทีว่า ‘นโยบายสาธารณสุข’ กระทบกับ ‘ความปลอดภัยของประชาชน’ และควรถึงเวลาที่จะปลดล็อกจาก ‘ผลประโยชน์’ ทางการเมืองเสียที จะได้ไม่ต้องมานั่งตามนโยบายกลับกลอก 6 ปีพลิกไปมาแบบ ‘กัญชาเสรี’ ซึ่งดูท่าจะไม่จบง่ายๆ นี้อีกต่อไป.


