วิกฤตบัตรทอง! รพ.รัฐเงินติดลบ เสี่ยงล่มสิทธิ์รักษาฟรีใน 3 ปี
รพ.รัฐทั่วประเทศขาดทุนหนักจากบัตรทอง เสี่ยงสิทธิ์รักษาฟรีล่มใน 3 ปี หากไม่เร่งแก้ วิกฤตนี้กระทบการเข้าถึงการรักษา อาจถึงขั้นระบบสาธารณสุขล่มสลาย
จากที่ นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย สว. โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก Veerapun Suvannamai ซึ่งมีผู้แชร์ออกไปมากถึง 2 หมื่นกว่าครั้ง ความว่า เรื่องจริง! อีก 3 ปี ระบบสาธารณสุขจะพัง ในขณะที่ประชาชนยังไม่รู้ตัว!
จนเป็นปรากฎการณ์ที่คนตื่นรู้ ตื่นตัว ถึงการที่ โรงพยาบาลรัฐบาลเสี่ยงการเงินติดลบ
โพสต์ทูเดย์ พาไปดูที่มาที่ไปและวิกฤติ ของโรงพยาบาลรัฐฯที่กำลังเกิดขึ้น
อวสานสิทธิ์รักษาฟรีในไทย? วิกฤตบัตรทอง โรงพยาบาลรัฐเงินติดลบ เสี่ยงล้มทั้งระบบใน 3 ปี
นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 ที่ประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือที่เรียกกันติดปากว่า "บัตรทอง" สิทธิ์การรักษาพยาบาลฟรี หรือจ่ายเพียง 30 บาท ก็กลายเป็นเสมือนลมหายใจของประชาชนผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพขั้นพื้นฐานเป็นจริงอย่างเป็นรูปธรรม ทว่าล่าสุด สถานการณ์กลับส่อเค้าวิกฤต เมื่อโรงพยาบาลรัฐ ซึ่งเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนระบบบัตรทอง กำลังเผชิญกับปัญหาทางการเงินอย่างหนักหน่วง จนน่ากังวลว่าสิทธิ์การรักษาฟรีที่เคยเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ อาจถึงจุดสิ้นสุดภายใน 3 ปีข้างหน้า
สัญญาณอันตรายเริ่มปรากฏชัดเจน เมื่อข้อมูลล่าสุดบ่งชี้ว่าโรงพยาบาลรัฐจำนวนมากกำลังประสบภาวะ "เงินบำรุงติดลบ" หรือมีรายจ่ายมากกว่ารายรับอย่างต่อเนื่อง ตัวเลขที่น่าตกใจคือมีโรงพยาบาลถึง 218 แห่งที่อยู่ในภาวะดังกล่าว และอีก 91 แห่งมีเงินเหลือสำหรับการบริหารจัดการน้อยกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะหมายถึงโรงพยาบาลเหล่านี้กำลังขาดสภาพคล่อง ไม่สามารถลงทุนพัฒนาบริการ จัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ หรือแม้กระทั่งจ่ายค่าจ้างบุคลากรได้อย่างราบรื่น
สาเหตุสำคัญของวิกฤตการณ์นี้มีความซับซ้อนและเกี่ยวพันกันหลายประการ
1 การกำหนดสิทธิ์ประโยชน์ที่เพิ่มขึ้นโดยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยที่หน่วยบริการและสถานพยาบาลกลับไม่มีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายและออกแบบสิทธิประโยชน์เหล่านั้น ผลที่ตามมาคือภาระงานและค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาลรัฐเพิ่มสูงขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
2 อัตราการจ่ายชดเชยค่าบริการทางการแพทย์ที่ไม่สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง ข้อมูลชี้ให้เห็นว่าต้นทุนเฉลี่ยในการรักษาผู้ป่วยในอยู่ที่ประมาณ 13,000 บาทต่อราย แต่ สปสช. กลับจ่ายชดเชยให้เพียง 7,100 บาทต่อรายเท่านั้น ช่องว่างของค่าใช้จ่ายนี้เองที่ทำให้โรงพยาบาลรัฐต้องแบกรับภาระทางการเงินอย่างหนัก
3 งบประมาณสนับสนุนระบบที่ลดลง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 งบประมาณที่จัดสรรให้กับระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าลดลงถึงปีละประมาณ 20,000 ล้านบาท ทำให้งบประมาณโดยรวมเหลือเพียง 40,000 ล้านบาท ซึ่งไม่เพียงพอต่อการรองรับจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกอื่นๆ เช่น การก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้จำนวนผู้ใช้สิทธิ์บัตรทองเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากผู้สูงอายุมีความต้องการในการรักษาพยาบาลที่สูงกว่าวัยอื่น ขณะที่ หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลกระทบต่อการจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในอนาคต
หากสถานการณ์ยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเตือนว่า ภายใน 3 ปีข้างหน้า ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าของไทยอาจถึงจุดล่มสลาย โรงพยาบาลรัฐที่ไม่สามารถแบกรับภาระทางการเงินได้อาจต้องลดขนาดการให้บริการ ลดจำนวนบุคลากร หรือในที่สุดอาจต้องปิดตัวลง ผลกระทบที่ตามมาจะตกอยู่กับประชาชนโดยตรง โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อย ซึ่งอาจไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลที่มีคุณภาพได้อีกต่อไป สิทธิ์การรักษาฟรีที่เคยเป็นหลักประกันในชีวิต อาจกลายเป็นเพียงอดีตที่น่าเสียดาย
อย่างไรก็ตาม ยังมีความหวังหากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหาทางแก้ไขวิกฤตการณ์นี้อย่างจริงจัง แนวทางที่ถูกเสนอแนะ เช่น การหยุดเพิ่มสิทธิ์ประโยชน์โดยไม่พิจารณางบประมาณอย่างรอบคอบ การปรับอัตราค่ารักษาให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง การตั้งกองทุนช่วยเหลือโรงพยาบาลที่กำลังประสบปัญหา การหาแหล่งรายได้เพิ่มเติม เช่น การเก็บภาษีเฉพาะ หรือการพัฒนารูปแบบการร่วมจ่ายค่ารักษาพยาบาล ล้วนเป็นมาตรการที่ควรถูกนำมาพิจารณาอย่างเร่งด่วน
การรักษาไว้ซึ่งระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของงบประมาณ แต่เป็นเรื่องของหลักการพื้นฐานด้านมนุษยธรรมและความเท่าเทียมในการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน หากปล่อยให้วิกฤตบัตรทองดำเนินต่อไปจนถึงจุดจบ อนาคตของการเข้าถึงการรักษาพยาบาลของคนไทยจำนวนมากจะตกอยู่ในความมืดมิด การตัดสินใจและดำเนินการอย่างเด็ดขาดในวันนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาระบบสุขภาพของประเทศให้ยั่งยืน และธำรงไว้ซึ่งสิทธิ์การรักษาพยาบาลที่ประชาชนทุกคนควรได้รับอย่างเสมอภาค


