’ปอดบวม’ มัจจุราชเงียบ! สาเหตุทำคนไทยตายเป็นอันดับ 3 และเพิ่มเกือบทุกปี
หลังข่าวการเสียชีวิตของ 'ต้าเอส' นางเอกสาวจากเรื่อง F4 โพสต์ทูเดย์ค้นข้อมูล พบ ‘ปอดบวม’ หรือ ‘ปอดอักเสบ’ ทำสถิติตายเป็นอันดับ 3 เป็นรองมะเร็งและหลอดเลือดสมอง ซ้ำร้ายเพิ่มขึ้นเกือบทุกปี! และหาสาเหตุที่เพิ่มสูงขึ้นมาจากอะไร ชี้ 'มลพิษอากาศ' เป็นปัจจัยสำคัญ
จากข่าวการเสียชีวิตกะทันหันของ ‘ต้าเอส’ นางเอกคนดังจากเรื่อง F4 รักใสๆ หัวใจ 4 ดวงของประเทศไต้หวัน ซึ่งระบุว่าเป็นไข้หวัดใหญ่และลุกลามจนเกิดอาการปอดอักเสบ โพสต์ทูเดย์จึงค้นหาความรุนแรงของโรค ‘ปอดบวม’ หรือ ‘ปอดอักเสบ’ ในประเทศไทย และพบสถิติที่น่าตกใจ จากสถิติสาธารณสุข จัดทำโดยกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ดังนี้
สถิติคนไทยเสียชีวิตจากการเป็นโรคปอดบวม หรือ ปอดอักเสบ ย้อนหลัง 11 ปี
โพสต์ทูเดย์รวบรวมข้อมูลจากรายงานสถิติสาธารณสุข จัดทำโดยกองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข พบข้อมูลสถิติการเสียชีวิตจากโรคปอดบวม หรือปอดอักเสบ ดังนี้
ปี 2556 จำนวนคนไทยเสียชีวิต 20,093 คน
ปี 2557 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 24,302 คน
ปี 2558 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 27,377 คน
ปี 2559 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 28,470 คน
ปี 2560 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 29,546 คน
ปี 2561 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 29,568 คน
ปี 2562 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 34,969 คน ( ปีที่เริ่มมีโควิด 19 ในเดือนธันวาคม )
ปี 2563 จำนวนคนไทยเสียชีวิต ลดลง 32,472 คน ( โควิด 19 )
ปี 2564 จำนวนคนไทยเสียชีวิต ลดลง 32,438 คน ( โควิด 19 )
ปี 2565 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 35,326 คน
ปี 2566 จำนวนคนไทยเสียชีวิต เพิ่มขึ้น 37,595 คน
นอกจากนี้ เมื่อโพสต์ทูเดย์รวบรวมสถิติดังกล่าว พบว่า 'ปอดอักเสบ' กลายเป็นอาการที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 รองจากโรคมะเร็งและเนื้องอกทุกชนิด และโรคหลอดเลือดสมอง
สถิติที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เกิดจากอะไร?
กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลกับ โพสต์ทูเดย์ ระบุถึงสาเหตุที่ทำให้สถิติผู้ป่วยโรคปอดอักเสบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากหลายปัจจัย โดยอาจจะมีสาเหตุที่สำคัญดังนี้
- การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส เช่น COVID-19 และไข้หวัดใหญ่ ซึ่งทำให้มีผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในการเกิดโรคปอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียที่แทรกซ้อน หรืออาจทำให้ระบบทางเดินหายใจอ่อนแอลงและเกิดโรคได้ง่ายขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อม เช่น มลพิษทางอากาศ หรือการสูบบุหรี่ที่ทำให้ระบบทางเดินหายใจเสียหายและเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากขึ้น
- การใช้ชีวิตในสังคมเมือง การที่มีการใช้ชีวิตในสังคมที่มีผู้คนหนาแน่น อาจทำให้เชื้อโรคแพร่กระจายได้ง่ายขึ้น และเพิ่มโอกาสในการติดเชื้อ
- การเข้าถึงระบบบริการทางสาธารณสุข บางครั้งผู้ป่วยอาจไม่สามารถเข้าถึงการรักษาอย่างทันท่วงที โดยเฉพาะในกรณีของผู้สูงอายุหรือคนที่มีปัญหาสุขภาพพื้นฐาน เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งจะทำให้มีโอกาสเกิดโรคปอดอักเสบมากขึ้น
- การดูแลรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวบางประเภท เช่น โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง มักมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบ
สาเหตุและสภาพแวดล้อมที่เป็นปัจจัยทำให้เกิดโรคปอดอักเสบ
ทั้งนี้ กองโรคติดต่อทั่วไป ได้ให้ข้อมูลว่า โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เกิดจากการติดเชื้อที่ปอด ซึ่งทำให้เนื้อเยื่อปอดอักเสบและทำงานผิดปกติ โดยสาเหตุหลัก ๆ ของโรคนี้ เกิดได้จาก 2 สาเหตุ ได้แก่
- การติดเชื้อ เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยที่สุด ชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น กลุ่มอายุ อาชีพ โรคประจำตัว ภาวะภูมิคุ้มกัน ประวัติการเดินทางต่างประเทศ การสูบบุหรี่ และสภาพแวดล้อมเช่น เชื้อไวรัส ได้แก่ Respiratory Syncytial Virus (RSV), ไข้หวัดใหญ่ (Influenza virus), ไวรัสโคโรนา (Coronavirus) เชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococcus Pneumoniae, Haemophilus Influenzae, และเชื้อราซึ่งพบน้อย
- ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ แต่เกิดจากปัจจัยที่ทำให้เนื้อเยื่อปอดเกิดการอักเสบหรือระคายเคือง เช่น ฝุ่น ควัน สารเคมีที่ระเหยได้ การใช้ยาบางชนิด เช่น ยาเคมีบำบัด และยาที่ใช้ควบคุมการเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ทั้งนี้ การรักษาโรคปอดอักเสบจะขึ้นอยู่กับสาเหตุ เช่น การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับการติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการใช้ยาต้านไวรัสสำหรับการติดเชื้อไวรัสบางชนิด
สำหรับสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคปอดอักเสบ (Pneumonia) หรือการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ มีหลายปัจจัยที่สามารถเพิ่มความเสี่ยงได้ เช่น
- การอาศัยอยู่ในสถานที่แออัด การอยู่ในพื้นที่ที่มีการรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก เช่น โรงเรียน, โรงพยาบาล, ค่ายทหาร, หรือหอพัก จะเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรค โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดของโรคติดเชื้อ
- มลพิษทางอากาศ ฝุ่นละอองและมลพิษจากการเผาไหม้: มลพิษจากรถยนต์, โรงงาน, หรือการเผาขยะ สามารถทำให้ระบบทางเดินหายใจระคายเคือง และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ รวมทั้งปอด
- สารเคมีที่ฟุ้งในอากาศ เช่น สารเคมีจากอุตสาหกรรมหรือการใช้สารเคมีในบ้าน ซึ่งอาจทำลายเนื้อเยื่อทางเดินหายใจ รวมทั้งปอด และเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อ
- ภูมิอากาศ ความชื้นและอากาศที่เย็นจัดทำให้เชื้อโรคสามารถเจริญเติบโตได้ดี และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอ่อนแอลง โดยเฉพาะในฤดูฝนหรือฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิที่ต่ำ
ทั้งนี้ อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เคยให้สัมภาษณ์ว่า ฝุ่น PM2.5 ก็เป็นตัวการที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในผู้ป่วยโรคปอดเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากฝุ่น PM2.5 เป็นฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ทำให้เนื้อเยื่อปอดอักเสบ เป็นอาการแรก เมื่ออักเสบเรื่อยๆ จะส่งผลต่อกระบวนการแบ่งตัวผิดปกติภายในเซลล์ และส่งผลให้กลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุดหากรับในปริมาณมากและระยะยาว
วิธีการดูแลตนเองเพื่อป้องกันโรคปอดอักเสบ
สำหรับวิธีการดูแลตนเองจากโรคปอดอักเสบ (Pneumonia) นั้นสำคัญเป็นอย่างยิ่งนอกจากจะช่วยให้หายเร็วแล้วยังป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจรุนแรงได้ ซึ่งมีวิธีการดูแลตนเอง ดังนี้
- รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่าและพักผ่อนให้เพียงพอ
- เนื่องจากปอดอักเสบส่วนมากเกิดจากการติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย กลุ่มเสี่ยงแนะนำฉีดวัคซีนตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง
- สวมหน้ากากอนามัย โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าไปในที่แออัด หรือเมื่อมีอาการไอ จาม
- รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ด้วยการล้างมือบ่อย ๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ รวมถึงหลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า โดยเฉพาะตา จมูก และปาก
- หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง เช่น ฝุ่น ควัน และสารเคมีระเหยได้ เช่น ควันจากการเผาไหม้ ไอระเหยจากสีและน้ำยาทำความสะอาด
- งดสูบบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพราะทำลายเยื่อบุทางเดินหายใจและลดภูมิคุ้มกันของปอด
- หากไม่สบาย แนะนำรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ยาจนครบตามระยะเวลา
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับคนที่มีอาการป่วย และหากตนเองมีอาการป่วยระบบทางเดินหายใจ ควรสวมหน้ากากอนามัยและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนอื่น เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
- ควรสังเกตอาการของตัวเอง ถ้ามีอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น ไอถี่ หายใจลำบาก เจ็บหน้าอก หรือไข้สูง ควรไปพบแพทย์ทันที
ข้อมูลจาก
สถิติสาธารณสุข - กองยุทธศาสตร์และแผนงาน สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
กองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค