อธิบดีกรมควบคุมโรคยัน 'ฝีดาษลิง' ไม่ระบาดรุนแรงเหมือน 'โควิด' แน่นอน!

วันนี้ (21 สิงหาคม 2567 ) นายแพทย์ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ยืนยันว่าฝีดาษลิง ไม่มีทางเหมือนโควิด 19 แน่นอน โดยปัจจุบันยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องยกระดับการป้องกันในไทย เนื่องจากความเสี่ยงยังต่ำที่จะระบาด

 

• เปิดสาเหตุที่จะไม่ระบาดเหมือนโควิด

อธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวถึงสาเหตุที่จะไม่ระบาดเหมือนโควิดด้วยเหตุผลว่า

1.การติดต่อของฝีดาษลิงไม่ได้ง่าย คนที่ติดส่วนใหญ่จะต้องเป็นกลุ่มที่มีภูมิต้านทางต่ำ โดยในไทยพบว่ากลุ่มชายรักชายใน โดยเฉพาะกลุ่มที่เป็น HIV จะมีโอกาสติดและเสียชีวิตได้มาก รวมถึงในเด็กและผู้สูงอายุซึ่งมีภูมิคุ้มกันต่ำด้วย

2.วิธีการแพร่เชื้อของฝีดาษลิงไม่ได้ติดง่ายเหมือนโควิด โดยจะต้องใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยจริงๆ เช่น แตะผิวหนัง หรือแตะตัว อย่างน้ำลายก็ต้องมีปริมาณระดับหนึ่ง ส่วนในแอฟริกาที่มีเด็กติดเชื้อเยอะ เนื่องจากติดจากผู้ใหญ่ในบ้าน ซึ่งเป็นแล้วมีการกอดจูบลูกหลาน มีแผล และสัมผัสกัน จึงสามารถติดเชื้อได้ง่าย

โดยผู้ที่แพร่เชื้อนั้น จะต้องอยู่ในระยะที่มีต่อมน้ำเหลืองโต มีแผลหรือตุ่มตามตัว หากมีเชื้อในตัวแต่ไม่แสดงอาการก็ไม่สามารถระบาดได้ โดยใช้เวลาประมาณ 21 วันจึงจะหายจากโรค

 

เมื่อสอบถามในประเด็นของวัคซีน ทางอธิบดีกรมควบคุมโรคกล่าวว่า วัคซีนตัวนี้เหมือนไข้ทรพิษ เป็นตัวเดียวกัน ซึ่งคนที่มีแผลปลูกฝีแล้วสามารถคุมได้หมด สำหรับประเทศไทยมีวัคซีน Small Pox (ไข้ฝีดาษ)อยู่  ส่วนวัคซีนฝีดาษลิงจริงๆ นั้น ขณะนี้ในประเทศไทยยังไม่มีการจำหน่าย หรือยังไม่มีใครนำเข้ามา แต่ถ้าหากมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ และเกิดการระบาดจริงๆ ทางกรมควบคุมโรคก็สามารถสั่งซื้อเข้ามาได้เลย

 

ทั้งนี้ อธิบดีกรมควบคุมโรคยังกล่าวว่า ฝีดาษลิง ไม่ใช่โรคใหม่เหมือนโควิด 19 ที่มนุษย์ไม่มีภูมิต้านทานเลย แต่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และก่อนหน้านี้ในปี 2022 ทางองค์การอนามัยโลกก็เคยประกาศภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศมาแล้วครั้งหนึ่งจากการระบาดของสายพันธุ์ 2 และยกเลิกการประกาศไปในเวลาต่อมา

 

 

• WHO ยืนยันฝีดาษลิงไม่ระบาดเหมือนโควิด และสามารถหยุดยั้งได้

ทางด้านองค์การอนามัยโลก ก็ได้ออกมาให้ข้อมูลซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเมื่อวานนี้ ดร.ฮันส์ ครูจ (Hans Kluge)  ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก (WHO) ประจำภูมิภาคยุโรป ได้ออกมาเปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าว โดยระบุว่า ฝีดาษลิงจะไม่ระบาดเหมือนโควิด และสามารถหยุดยั้งได้ เนื่องจากมีความรู้เกี่ยวกับการควบคุมของโรค โดยไม่จำเป็นต้องมีการ 'ล็อคดาวน์' เฉกเช่นที่เกิดเมื่อครั้งโควิด 19  และแนะนำว่าควรจะมีการควบคุมโรคโดยเน้นไปที่ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายและชาย ซึ่งได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยมองว่าหากทั่วโลกเฝ้าระวังเรื่องนี้ก่อนล่วงหน้า ก็จะดีกว่าการที่ทั่วโลกเกิดเหตุแล้วมาตื่นตระหนกทีหลัง

อีกทั้งยังแนะนำให้ฉีดวัคซีนเฉพาะแค่ในวงที่มีความเสี่ยง โดยไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนเป็นวงกว้าง และไม่จำเป็นต้องใช้หน้ากากอนามัย.