สุดเจ๋ง! 7 นวัตกรรมสุขภาพฝีมือคนไทยที่จะอยู่ใน 'สิทธิหลักประกันสุขภาพ'
เปิด 7 นวัตกรรมสุขภาพฝีมือคนไทยที่จะอยู่ใน 'สิทธิหลักประกันสุขภาพ' ด้านสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติหวังไกลถึงกระตุ้น GDP ชี้ทุกปีใช้งบสำหรับยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่นำเข้าจากต่างประเทศปีละกว่า 70,000 ล้านบาท!
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีความเคลื่อนไหวที่น่าจับตามองระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) โดยมีการเซ็นต์ MOU ที่จะสนับสนุนและขับเคลื่อนการวิจัย และผลิตผลิตภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน โดยให้สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนในสิทธิหลักประกันสุขภาพ
โดย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดเผยว่า 7 นวัตกรรมฝีมือคนไทยที่เกิดขึ้นจะนำเข้าสู่บัญชีหลักของสปสช. ต่อไป เพื่อใช้ในโครงการ 30 บาทรักษาทุกที่ซึ่งได้ขยายไปทั่วประเทศ
" ผมได้ทราบว่า ใช้เงินในการวิจัย 2,000 ล้านบาท แต่มีผลิตภัณฑ์ออกมาวางจำหน่ายให้แก่คนไทย รวมทั้งสปสช.แล้วกว่า 5,000 ล้านบาทแล้ว เพราะฉะนั้นในเรื่องของการวิจัย จะเป็นหลักประกันที่ทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ หรืออุตสาหกรรมของคนไทยที่ได้มาตรฐาน และสามารถลดการนำเข้าอย่างมหาศาล " รมว.สธ.ระบุ โดยย้ำว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของการผลักดันนโยบาย Medical Hub เพื่อสร้างรายได้ให้ประเทศ เนื่องจากไม่ได้มองแค่การผลิตเพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น
" ผมได้รับข่าวสารว่าประเทศที่พึ่งพาการแพทย์ของเรา ก็ต้องการสินค้าไทยเช่นกัน"
ทั้งนี้ มีการเปิดเผยจาก นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในเรื่องงบประมาณการนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์เพิ่มเติมว่า
" เงิน 100% ของสปสช. ไม่ต่ำกว่า 50% ถูกจ่ายให้กับการนำเข้าตกปีละ 70,000 ล้าน ที่เป็นยาและเครื่องมือ"
ซึ่งหากมีการสนับสนุนนวัตกรรมจากคนไทยก็จะทำให้การนำเข้าลดลง เงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้น และสุดท้ายก็จะกลับมาเป็นงบประมาณของหลักประกันสุขภาพ ยกตัวอย่างเช่น รากฟันเทียม ซึ่งสปสช.ได้มีค่าใช้จ่ายส่วนนี้ราวปีละ 216 ล้านบาท เช่นเดียวกับถุงทวารเทียมที่มีการนำเข้าปีละ 300 ล้านบาท
อย่างไรตาม เลขาธิการสปสช. มองว่าไม่ได้กีดกันสินค้าจากต่างประเทศแต่อย่างใด แต่จะมองไปในทิศทางของการลงทุนร่วมกับต่างประเทศมากขึ้นหากบริษัทในไทยเข้มแข็ง ซึ่งคิดว่ามีผลดีทางด้านเศรษฐกิจ
" เราพยายามจะเปลี่ยนแนวคิดจากการเป็นหน่วยงานที่จ่ายงบประมาณของประเทศ เป็นหน่วยที่สร้างรายได้ให้ประเทศ ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญ ซึ่งมีการเสนอเข้าบอร์ดไปด้วย เราไม่แน่ใจว่า GDP จะโตเท่าไหร่ แต่เรามองว่าเงินที่หมุนอยู่ในประเทศหลายๆ รอบ แน่นอนว่าจะเกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ นอกจากให้บริการทางการแพทย์แล้ว เราจะเป็นแหล่งผลิตสินค้าต่างๆ ทางการแพทย์ในราคาไม่แพงนักและช่วยประเทศต่างๆ ได้" นพ.จเด็จระบุ
ส่วนการพิจารณาสินค้านั้นต้องมีผลวิจัยรองรับ เพื่อให้ได้มาตรฐานและควาาปลอดภัยในระดับสากล เพราะกระทรวงเองไม่ได้มุ่งเป้าที่ประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นต่างประเทศด้วย
- 7 นวัตกรรมฝีมือคนไทย มีอะไรบ้าง
1. รากฟันเทียม จากปัญหาที่ค่าใช้จ่ายในการรักษารากฟันเทียมแพงมากเนื่องจากต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงได้มีการเริ่มต้นวิจัยและผลิตนวัตกรรม เนื่องจากความจำเป็นโดยเฉพาะในผู้สูงอายุการวิจัยที่ไม่มีฟันทั้งปาก บดเคี้ยวอาหารไม่ได้ ได้กลับมามีฟันที่แข็งแรง และส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งรากฟันเทียมของไทยมีมาตรฐานเทียบเท่าและได้รับการยอมรับในระดับสากล อีกทั้งยังมีราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า รากฟันเทียมของคนไทยจึงสามารถขายได้ทั้งในและต่างประเทศ
ทั้งนี้ รากฟันเทียมอยู่ในสิทธิ 'บัตรทอง' ตั้งแต่ปี 2565 โดยสปสช.บรรจุให้อยู่ในสิทธิของคนไทย โดยผู้ที่ไม่สามารถรักษาโดยวิธีการใช้ฟันปลอมได้อีก และมีความจำเป็นต้องใส่รากฟันเทียมก็จะได้รับสิทธินี้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด
2. ถุงทวารเทียม เมื่อผู้ป่วยไม่สามารถขับถ่ายของเสียได้เองตามช่องทางปกติ โดยเฉพาะเป็นผลพวงจากการป่วยด้วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในไทย ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวต้องใส่อุปกรณ์ถุงทวารเทียม หรือชุดรองรับสิ่งขับถ่ายจากทวารเทียม (Colostomy Bag) ตลอดเวลา ทำให้ปริมาณที่ต้องใช้มีจำนวนมากในแต่ละปี ที่ผ่านมาไทยได้นำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาแพง ทำให้โรงพยาบาลหลายแห่งไม่มีงบเพียงพอในการจัดซื้อ จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนาขึ้น โดยใช้วัสดุเป็นยางพาราธรรมชาติ โดยมีการนำมาใช้ในระบบสิทธิประกันสุขภาพแล้วตั้งแต่ปี 2562
3.วัคซีนป้องกันโรคไอกรน ชนิดไร้เซลล์ จากข้อมูลระบาดวิทยาของโรคไอกรนพบว่าแนวโน้มของผู้ป่วยรายงานโรคไอกรนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 6 เดือน ซึ่งเป็นช่วงวัยที่ยังไม่ได้รับหรือได้รับวัคซีนที่มีส่วนประกอบของโรคไอกรนไม่ครบถ้วน สำหรับการป้องกันโรคไอกรนในเด็กเล็กนั้น มาตรการหนึ่งที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ การให้วัคซีนที่มีส่วนประกอบของโรคไอกรนแก่หญิงตั้งครรภ์ เพื่อให้ภูมิคุ้มกันต่อโรคไอกรนที่แม่สร้างขึ้นถ่ายทอดไปสู่ทารกในครรภ์
4.แผ่นปิดกะโหลกเทียมไทเทเนียม จากอาการของโรคหลอดเลือดสมอง ซึ่งในประเทศไทยมีอัตราผู้เสียชีวิต (ปี 2563) ทั้งหมด 34,545 คน และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งวิธีการรักษาหนึ่งคือ 'การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ' เมื่อผ่าแล้วก็จะมีการปิดคืนกะโหลดศีรษะให้ผู้ป่วยโดยใช้ Polymethylmethacrylate (PMMA) แต่วัสดุ PMMA มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่องความแข็งแรงทนทาน ตลอดจนรอยยุบและรอยต่อระหว่างกะโหลกจริงและกะโหลกเทียม ซึ่งส่งผลต่อการฟื้นตัวและพัฒนาการของผู้ป่วยหลังการผ่าตัด และอาจเสี่ยงต่อภาวะติดเชื้อจากวัสดุได้ ซึ่งการพัฒนาแผ่นปิดกะโหลกเทียมไทเทเนียมซึ่งมีความแข็งแรง แต่มีอัตราการติดเชื้อน้อยลง และสามารถออกแบบให้เข้ากับกะโหลกของบุคคลนั้นได้
5.ชุดทดสอบไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันที่มีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในประเทศไทยมากถึง 17.5.% ของประชากร คิดเป็นประชากรประมาณ 11 ล้านคน โดยแต่ละปีจำนวนผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง รวมถึงผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดทดแทนไตเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันการตรวจวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังอาศัยค่าการตรวจซีรั่มครีอะตินีนและการตรวจไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ ผู้ป่วยต้องเดินทางไปที่โรงพยาบาล ทำให้เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายและสูญเสียเวลาเป็นอย่างมาก จึงมีการพัฒนาชุดทดสอบไมโครอัลบูมินในปัสสาวะ (Microalbuminuria Rapid Test) ขึ้น เพื่อตรวจคัดกรองโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้น ซึ่งสามารถคัดกรองเองได้ที่บ้าน
6.ชุดตรวจคัดกรองโรคพยาธิใบไม้ในตับ พยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุสำคัญของของโรคพยาธิใบไม้ตับ รวมทั้งเกี่ยวข้องกับมะเร็งท่อน้ำดี และเป็นสาเหตุเสียชีวิตของประชาชนถึง 20,000 คนต่อปี วิธีหนึ่งที่จะสามารถป้องกันได้คือกำจัดพยาธิใบไม้ตับ แต่การตรวจคัดกรองเพื่อค้นหาผู้ติดเชื้อโดยตรวจอุจจาระตามวิธีมาตรฐานมีประสิทธิภาพต่ำ
ดังนั้น จึงมีการพัฒนาการตรวจวินิจฉัยพยาธิใบไม้ตับด้วยวิธีใหม่ เป็นชุดตรวจคัดกรองพยาธิใบไม้ตับสำเร็จรูปชนิดเร็ว โดยใช้ตัวตรวจจับจำเพาะ หรือโมโนโคลนแอนติบอดี ที่มีความจำเพาะต่อพยาธิใบไม้ตับ และเป็นสารตรวจจับสิ่งคัดหลั่ง หรือแอนติเจนของพยาธิใบไม้ตับในปัสสาวะ ใช้เวลาเพียง 10 นาทีก็จะทราบผล และนำไปสู่การรักษาต่อไป
7.เท้าเทียมไดนามิกส์ ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้พิการขาขาดจำนวน 39,647 คน และกว่า 95 % ของผู้พิการขาขาดใช้เท้าเทียมที่ด้อยคุณภาพ น้ำหนักมาก และไม่มีข้อเท้า ทำให้เดินได้ไม่ดี ส่งผลต่อคุณภาพในการดำเนินชีวิตของผู้พิการ การพัฒนาเท้าเทียมไดนามิกส์นี้ พบว่ามีความยืดหยุ่น สามารถงอเท้า เก็บพลังงานในเท้าเทียมได้ ทำให้มีแรงส่งขณะเดิน ตัวเท้าทำจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ น้ำหนักเบา แข็งแรง ผู้พิการสวมใส่แล้วสามารถเดินในพื้นที่ขรุขระ ออกกำลังกาย และวิ่งเหยาะๆ ได้เหมือนคนปกติ โดยพบว่ามีคุณสมบัติและสมรรถนะเท่าเทียมกับที่นำเข้าจากต่างประเทศ แต่ต้นทุนการผลิตถูกกว่าการนำเข้าถึง 5 เท่า


