posttoday

ผลวิจัยชี้ PM2.5 มีผลต่อลูกน้อยตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เสี่ยงแท้งและตายสูงขึ้น

25 กรกฎาคม 2567

จากดรามาบนโลกโซเชียล เมื่อโตโน่ออกความเห็นว่าหากยังมีฝุ่น PM2.5 ก็จะไม่มีลูก เพราะไม่อยากให้ลูกต้องสูดอากาศเข้าไป จนเกิดกระแสถูกพูดถึงในหลายทิศทาง บ้างก็นำไปผูกโยงกับเรื่องสัมพันธ์หญิง-ชาย แต่หากดูในมุมทางการแพทย์ PM2.5 นั้นส่งผลต่อทารกในครรภ์มากกว่าที่คิด

จากผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัย Jawaharlal Nehru Medical College ประเทศอินเดีย ระบุว่า หากเด็กที่อยู่ในครรภ์สัมผัสกับมลพิษทางอากาศตลอด 1,000 วันแรกของชีวิตตั้งแต่ปฎิสนธิจนถึงเข้าอายุได้ 2 ขวบ อาจมีผลต่อสุขภาพในระยะยาว อาทิ ส่งผลต่อการพัฒนาปอดโดยอ้อม และเพิ่มโอกาสที่จะมีอาการหอบหืดในเด็ก  ทำให้ทารกแรกเกิดมีน้ำหนักตัวน้อยโดยพบว่าอุบัติการณ์ของอาการแคระแกรนหลังคลอดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 19  มีการคลอดก่อนกำหนด หรือพัฒนาการในระบบภูมิคุ้มกันไม่เหมาะสม นอกจากนี้มลพิษยังอาจกระทบกับการพัฒนาอวัยวะและการสร้างอวัยวะได้

 

ในขณะเดียวกันจากวารสารการพยาบาลสภากาชาดไทย ได้กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ซึ่งอาจกระทบกับลูกที่อยู่ในครรภ์ได้ว่า กระทบทั้งต่อสุขภาพของสตรีตั้งครรภ์และทารกในครรภ์

 

สำหรับสตรีตั้งครรภ์ ฝุ่น PM2.5 จะสามารถเข้าไปในระบบทางเดินหายใจส่วนลึกได้ เช่น บริเวณถุงลมฝอยซึ่งไม่มีการหลั่งสารคัดหลั่งเพราะผนังถุงลมฝอยบางมาก แต่ร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกัน เช่น เซลล์เม็ดเลือดขาวหรือพวกแมคโครฟาจ ทำหน้าที่กำจัดสิ่งแปลกปลอม การได้รับ PM2.5 จำนวนมากอาจเกิดการสะสมและเป็นอันตรายต่อสุขภาพโดย PM2.5 จะซึมผ่านผนังถุงลมฝอยและเข้าระบบไหลเวียนเลือดของร่างกายไปยังอวัยวะต่างๆ ก่อให้เกิดผลเป็นโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรัง มะเร็งปอด โรคหัวใจและหลอดเลือดในสมองอุดตัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นสตรีตั้งครรภ์ซึ่งถือว่าอยู่ในกลุ่มเปราะบาง จะได้รับผลกระทบเพิ่ม  ซึ่งสตรีที่มีการตั้งครรภ์จะมีการเปลี่ยนแปลงสรีระของตน ระบบทางเดินหายใจจะมีการทำงานเพิ่มขึ้น เพื่อให้ได้ปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอทั้งต่อตนเองและเด็กในครรภ์ จึงต้องหายใจเร็วและแรงขึ้น มีโอกาสสูดดมฝุ่น PM2.5 ได้มากกว่าสตรีทั่วไป

 

นอกจากผลกระทบต่อสุขภาพร่างกายแล้ว ยังกระทบต่อสภาวะการตั้งครรภ์ โดยมีวิจัยซึ่งทำการวิจัยฝุ่น PM2.5 ในน้ำคร่ำ และพบถึงผลกระทบต่อสุขภาพทั้งของสตรีตั้งครรภ์ และทารกในครรภ์ ดังนี้

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพสตรีตั้งครรภ์
  1. ภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์ เนื่องจากการไหลเวียนเลือดไปสู่รกไม่เพียงพอ เกิดภาวะเครียอดออกซิเดชัน รกอักเสบ นำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูงร่วมกับการตั้งครรภ์ได้ โดยพบว่าจะมีความเสี่ยงนี้เพิ่มขึ้นถึง 1.32 เท่า
  2. เบาหวานระหว่างตั้งครรภ์  เนื่องจาก PM 2.5 เป็นสาเหตุที่ทำให้กระบวนการเมแทบอลิซึมของเซลล์ถูกรบกวนหรือสูญเสียหน้าที่ในหลายระบบ เช่น ระบบประสาทอัตโนมัติ ระบบการตอบสนองต่อการอักเสบ และการเมแทบอลิซึมของกลูโคส
  3. เสี่ยงคลอดก่อนกำหนด  การศึกษาในเมืองอู๋ฮั่น พบว่าจะมีความเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดเพิ่มขึ้น 1.09 เท่าในการเพิ่มขึ้นของฝุ่นทุก 10 ไมโครกรัม และจะมีความเสี่ยงมากขึ้นหากสัมผัสฝุ่นในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ หรือช่วงอายุครรภ์ระหว่าง 27-40 สัปดาห์ หรืออยู่ในช่วงเดือนที่ 7-9 ของการตั้งครรภ์ เนื่องจากรกซึ่งทำหน้าที่ขนส่งออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงทารกทำงานลดลง ทำให้สิ่งแวดล้อมในมดลูกไม่เหมาะต่อการเจริญเติบโตของทารก

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์
  1. หัวใจพิการแต่กำเนิด โดยการศึกษาในไต้หวันพบว่าการได้รับ PM2.5 เกินเกณฑ์ของ WHO ในช่วงอายุครรภ์ 3-8 สัปดาห์ จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจพิการแต่กำเนิดของทารก 1.21 เท่า
  2. ทารกเจริญเติบโตช้าในครรภ์ น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์รวมไปถึงน้ำหนักแรกคลอดน้อยกว่าง 2,500 กรัม โดยการศึกษาในประเทศอินเดียพบว่าการได้รับฝุ่น PM 2.5 เพิ่มขึ้นเพียง 10 ไมโครกรัมจะทำให้ทารกแรกเกิดน้ำหนักลดลง 4-15.9 กรัม โดยเฉพาะการได้รับ PM 2.5 ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของการตั้งครรภ์
  3. ทารกตายคลอดหรือแท้ง พบกว่าการได้รับฝุ่น PM2.5 เพิ่มขึ้นปริมาณ 10 ไมโครกรัมไม่ว่าช่วงใด จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตของทารกใสครรภ์ประมาณ 1.1-1.6 เท่า โดยเฉพาะการสัมผัสฝุ่นในไตรมาสที่ 3 ของการตั้งครรภ์ทำให้ทารกในครรภ์เสี่ยงต่อการตายคลอดสูงถึงร้อยละ 42

ข่าวล่าสุด

เปิดโปรแกรมวอลเลย์บอลหญิง ซีเกมส์ 2025 รอบรองฯ ไทยดวลอินโดฯ