Road To WorldPride 2030 : ทำไมไทยต้องจัด WorldPride 2030?
มูลค่าของการจัดงานระดับโลกอย่าง WorldPride เป็นสิ่งที่ดึงดูดใจ หากมองเม็ดเงินการจัดงานนี้เมื่อเทียบกับการจัดงานโอลิมปิกก็พบว่า มีการลงทุนที่น้อยกว่าแต่กลับได้ผลลัพธ์ที่มากกว่าหลายเท่านัก และไม่ขาดทุนเหมือนอย่างโอลิมปิกที่จัดที ประเทศนั้นก็แทบจะมีหนี้สินต้องจัดการต่ออีกไม่รู้จะกี่ปี
อย่างการจัด WorldPride ที่ซิดนีย์ในครั้งที่ผ่านมาก็สามารถดึงเม็ดเงินเข้าประเทศทั้งปีได้มากกว่า 8,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการลงทุนในหลักร้อยล้าน หรือปีก่อนหน้าซิดนีย์ ที่นิวยอร์กก็สามารถสร้างกำไรได้มากกว่า 5 เท่าจากทั่วทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เพราะกลุ่ม LGBTQ เป็นกลุ่มที่มีกำลังจ่ายสูง โดยสถิติจากเทอร์ร่า บีเคเค เฉพาะแค่รายได้ของ LGBTQ ไนไทย ก็พบว่ามากกว่ารายได้ของผู้ชายและผู้หญิงกว่า 9% เลยทีเดียว
จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า WorldPride คือ ‘ชิ้นเนื้อก้อนโต’ ที่ประเทศไหนก็ๆ อยากจะได้! จึงไม่แน่แปลกใจที่ในพักหลังนี้ทางรัฐบาลพยายามที่จะขับเคลื่อนให้ไทยสามารถสะสมผลงาน และสนับสนุนหลายต่อหลายทางเพื่อทำให้สามารถจัดงาน WorldPride ในปี 2030 นี้ให้จงได้ ซึ่งหากนับสมัยของรัฐบาลเพื่อไทย หากเป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอยากจะอยู่ให้ได้ครบ 2 สมัย การจัดงาน WorldPride ในปี 2030 ซึ่งน่าจะนำเม็ดเงินเหยียบหมื่นล้านเข้าประเทศได้ นับว่าเป็นผลงานช่วงปลายที่อาจจะส่งผลทางการเมืองได้ไม่มากก็น้อย
เมื่อมองกลับมาถึงกลุ่มคอมมิวนิตี้และภาคประชาสังคม การกำยุทธศาสตร์ Road To WorldPride 2030 โดยที่ วาดดาว-อรรณว์ ชุมาพร ประธานและผู้ก่อตั้งบริษัท นฤมิตไพรด์ จำกัด เคยให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ (อ่านเพิ่มเติม จับตา 3 ประเด็นใหญ่ ก้าวต่อไปของ LGBTQ+ เมืองไทย หลังสมรสเท่าเทียมผ่าน! ) ว่า
“ การจัดงาน WorldPride ที่ซิดนีย์ปีที่แล้วมีผลกระทบเชิงเศรษฐกิจกว่า 8,000 ล้านบาท แต่ใช้ต้นทุนเพียง 500-700 ล้านบาท ในเมื่อประเทศไทยต้องการ ก็ต้องทำงานเรื่องกฎหมายเป็นหลักเพื่อพิสูจน์ให้ประชาคมโลกได้เห็นว่าเราสมควรจัดงานระดับโลก และกระตุ้นเศรษฐกิจเกือบหมื่นล้านอย่างที่ซิดนีย์ WorldPride ทำมา ”
จากบทสัมภาษณ์ก็ทำให้เห็นว่า ภาคประชาสังคมกำผลประโยชน์ในด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจจากชุมชน LGBTQIAN+ ที่มีอย่างมหาศาล และหากภาครัฐต้องการ ภาครัฐต้องมีการดำเนินการสร้างสังคมที่มีความหลากหลายและเท่าเทียมโดยเฉพาะในด้านกฎหมายซึ่งภาครัฐมีอำนาจด้านนี้อยู่
เพราะการเป็นเจ้าภาพ WorldPride นั้นแท้จริงแล้วไม่ง่ายเลย! และไม่อาจเป็นไปได้ด้วยการผ่าน กฎหมายสมรสเท่าเทียมเพียงแค่ฉบับเดียว
- เปิดเงื่อนไขและไทยถึงไหนแล้วบนถนนสู่ WorldPride 2030
เงื่อนไขเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ WorldPride ตามข้อกำหนดของ InterPride องค์กรระหว่างประเทศที่ขับเคลื่อนขบวนการ Pride นั้นมีเงื่อนไขต่างๆ อาทิ ต้องเป็นประเทศสามาชิก InterPride และเป็นองค์กรที่จัดงานไพรด์แบบจริงจังเป็นทางการในพื้นที่สาธารณะไม่นับรวมออนไลน์อย่างน้อย 3 ปี (ประเทศไทยจัดมาแล้ว 3 ปี คือตั้งแต่ปี 2022-2024 ) ต้องมีการเข้าร่วมประชุมประจำปีและมีการเข้าร่วมงาน WorldPride 1 ครั้ง ซึ่งทำให้กลุ่มนฤมิตไพรด์ เป็นภาคประชาสังคมที่รวมตัวกันจัดกิจกรรมนี้และมีคุณสบัติครบดังกล่าว อีกทั้งยังมีองค์ประกอบของเมืองที่ต้องสร้างความเชื่อมั่น เช่น
- เมืองจะต้องเสนอให้เห็นว่าคอมมิวนิตี้มีความเข้มแข็ง
- ได้รับการสนับสนุนและการรับรองจากรัฐบาลและท้องถิ่น
- จัดงาน Pride Month Celebrate Event ทั่วประเทศ ตลอดทั้งเดือน
- รัฐบาลมีนโยบายโอบรับความหลากหลาย และมีกฎหมายที่ให้สิทธิความเท่าเทียมทางเพศและสิทธิมนษุยชน
- มีการรักษาความปลอดภัยและอำนวยคววามสะดวกในการเดินทางได้
- มีประสบการณ์ในการจัดงานใหญ่ ๆ
สำหรับประเทศไทยจาก Timeline ที่ผ่านมาเฉพาะปีนี้พบว่า นอกจากการจัดงาน Bangkok Pride ติดกันเป็นปีที่ 3 แล้ว ยังสามารถจัด Pride Month ได้ทั่วประเทศตลอดทั้งเดือน และมีการผ่าน พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียม รวมไปถึงจะมีการนำเสนอเมืองภูเก็ตเป็นเจ้าภาพจัดงาน InterPride World Conference ในปี 2025 อีกด้วย!
อย่างไรก็ตาม ประเด็นนโยบายโอบรับความหลากหลายของรัฐที่คณะกรรมการ InterPride พิจารณานั้นไม่ได้เฉพาะแค่ สมรสเท่าเทียม แต่ยังรวมไปถึงการเข้าถึงบริการและสวัสดิการส่วนรวมอย่างเท่าเทียมหรือไม่ การออกแบบต่างๆ ของเมืองที่เป็น Universal Design มิติของการเข้าถึงสิทธิสุขภาพ ซึ่งนอกเหนือไปจากมิติของการสมรสทั้งนั้น
และหากรัฐอยากจะคว้าสิทธิการเป็นเจ้าภาพจัดอีเว้นท์นี้ ก็จะต้องมีการผลักดันในส่วนต่างๆ อีกหลายด้าน โดยเราจะเห็นแล้วว่ามีการขยับ อาทิ งบประมาณของสปสช.นั้นมีการจัดสรรงบรายการใหม่เพื่อให้บริการสุขภาพแก่คนข้ามเพศได้! และในมุมของสภาก็มีการเสนอในมิติของการรับรองเพศสภาพ ซึ่งจะมีผลต่อเนื่องไปยังสวัสดิการต่างๆ ของรัฐ
- จัดงานที่เอเชีย ขยายคอมมิวนิตี้ Pride สู่โลกตะวันออก
ในขณะนี้ประเทศในแถบเอเชียมีเพียง 3 ประเทศที่ผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียมได้แก่ ไต้หวัน เนปาล และประเทศไทย ซึ่งไต้หวันนั้นเกือบได้เป็นเจ้าภาพ WorldPride เป็นชาติแรกในเอเชียในปี 2025 แต่มีประเด็นที่องค์กร InterPride ผู้จัดงานระดับนานาชาติ ขอให้เปลี่ยนชื่องานจาก “WorldPride Taiwan 2025” เป็น “WorldPride Kaohsiung 2025” ตามชื่อเมืองเจ้าภาพ ซึ่งกลายเป็นประเด็นอ่อนไหว เนื่องจากไต้หวันต่อสู้บนเวทีระหว่างประเทศถึงการมีอยู่ของประเทศตนภายใต้การกดดันของจีนมาโดยตลอด การถูกให้เปลี่ยนชื่องานจึงเหมือนถูกลดทอนความสำคัญ ไต้หวันจึงขอถอนตัวจากการเป็นเจ้าภาพในปีดังกล่าว จึงทำให้ยังไม่มีประเทศไหนในเอเชียที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดงาน WorldPride มาก่อน
ต้องยอมรับว่าประเทศทางซีกโลกตะวันออกตามหลังประเทศซีกโลกตะวันตกในประเด็นของการตื่นตัวเรื่องชุมชน LGBTQIAN+ อยู่พอสมควร แต่อีกมุมหนึ่งก็กลับเป็นโอกาส โดย นายพัฒนชัย สิงหวาระ ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการภาคใต้ เคยให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ว่า ทางคณะกรรมการ InterPride อยากขยายคอมมิวนิตี้ให้ใหญ่ขึ้นในโซนเอเชีย ซึ่งนี่อาจจะทำให้ไทยที่อยากเป็นเจ้าภาพมีข้อได้เปรียบมากขึ้นเมื่อพิจารณาความพร้อมในด้านต่างๆ ประกอบกัน
ท้ายที่สุด แม้ผลประโยชน์จะลงตัวระหว่าง WorldPride ที่เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้มหาศาลกับข้อเรียกร้องของชุมชน LGBTQIAN+ แต่ในขณะเดียวกันสิ่งที่ควรตระหนักให้ดีและให้ความสำคัญมากกว่า คือหัวใจของการจัด WorldPride ที่มีคุณค่ามากกว่ามูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่เป็นพื้นที่ที่จะป่าวประกาศให้แก่ชาวโลกได้เห็นถึงสังคมที่โอบรับความหลากหลายอย่างแท้จริง สิทธิและเสรีภาพของคนทุกคนที่ไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ และศาสนา หรือแม้แต่ความบกพร่องทางร่างกาย อย่าให้หัวใจของงานเลือนหายไปเพราะเพียงแค่หวังผลเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว