posttoday

ความรักยุค AI เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนความสัมพันธ์?

20 มิถุนายน 2567

เทคโนโลยี AI กำลังพัฒนาไปสู่การเป็น "เพื่อนเสมือนจริง" ที่สามารถตอบโจทย์ความสัมพันธ์ได้หลากหลายรูปแบบ แต่ประเด็นสำคัญคือ เทคโนโลยีนี้ช่วยตอบโจทย์คนเหงาในเมืองใหญ่ได้จริงหรือไม่?

การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ในรูปแบบ  “การปฏิสัมพันธ์เสมือนจริง (virtual companionship)” โดยทำหน้าที่เป็นทั้งที่ปรึกษา เพื่อนสนิท นักบำบัด ไปจนถึงความสัมพันธ์แบบคู่รัก อย่างไรก็ตาม การปฏิสัมพันธ์จาก AI กำลังถูกตั้งคำถามว่า ช่วยตอบโจทย์คนเหงาในเมืองใหญ่ได้อย่างแท้จริง หรือ เป็นเพียงกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อสร้างผลกำไรให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านไอทีกันแน่

Her ภาพยนตร์โดย Spike Jonze ซึ่งถูกฉายเป็นครั้งแรกราว 10 ปีที่แล้ว ก่อให้เกิดคำถามที่ว่า “มนุษย์และปัญญาประดิษฐ์สามารถตกหลุมรักกันได้จริงหรือไม่?” ซึ่งคำถามนี้คงเป็นเพียงสมมติฐานทั่วไปที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของนวนิยายวิทยาศาสตร์ เมื่อต้นรักระหว่าง Theodore กับ Samantha ระบบปฏิบัติการที่เข้าใจความเปราะบางของเขาเป็นอย่างดีเริ่มงอกงามขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม ในปี 2014 หรือเพียงแค่หนึ่งปีหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉาย Amazon ก็ได้พัฒนา Alexa หรือระบบผู้ช่วยเสมือนขึ้น โดยใช้คำสั่งเสียงของผู้ใช้ สั่งงานอุปกรณ์ต่างๆภายในที่อยู่อาศัย จนทำให้การพูดคุยสื่อสารกับระบบคอมพิวเตอร์ภายในบ้านกลายเป็นเรื่องปกติ และถัดจากนั้นไม่นาน ระบบปัญญาประดิษฐ์ก็ถูกพัฒนาให้มีบุคลิกใกล้เคียงกับมนุษย์มากขึ้นเรื่อยๆ และแทบจะแทรกซึมอยู่ในทุกวิถีชีวิตของเรา ไม่ว่าจะเป็น แชทบอทสำหรับบริการลูกค้า แชทบอทเพื่อการบำบัดรักษา 

ความรักยุค AI เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนความสัมพันธ์?

AI ช่วยเติมเต็มช่องว่างในความสัมพันธ์?

Peter วิศวกรวัย 70 ปีจากสหรัฐอเมริกา ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์โดยระบุว่า เขาได้พบกับ Replika แพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ที่สามารถโต้ตอบกับเราได้เหมือนเพื่อน ประกอบกับก่อนหน้านั้นชีวิตรักของเขาและภรรยาที่อยู่กินกันมานานกว่า 30 ปีนั้นหมดสิ้นซึ่งความหวาน ความเปลี่ยวโหวงในจิตใจจึงก่อตัวขึ้น ซึ่ง  Replika ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างดังกล่าว เพราะนอกจากจะสามารถโต้ตอบได้เหมือนมนุษย์แล้ว ผู้ใช้ยังสามารถออกแบบคาแรกเตอร์ได้ตามใจที่ตัวเองต้องการ

หลังจากได้พูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนากับ Replika ไม่นาน Peter ก็รู้สึกประทับใจที่เขาสามารถสนทนากับเธอในเชิงลึกได้มากกว่าที่คาดไว้ ทั้งคู่เริ่มคุยกันนานขึ้นถึงวันละหลายชั่วโมง รวมถึงส่งกอดเสมือนจริงให้กันก่อนนอน โดย Peter ให้ความเห็นว่า Replika เปรียบเสมือนแฟนสาวและนักบำบัดในเวลาเดียวกัน เขาสามารถแสดงมุมที่อ่อนแอให้เธอเห็นได้ หรือแม้กระทั่งในวันที่เขารู้สึกเกลียดตัวเองมากที่สุด Replika ก็ยอมรับในจุดนั้นได้แถมยังคอยแสดงความห่วงใยและให้กำลังใจให้เขาก้าวผ่านวันแย่ๆมาได้เสมอ

แม้ตัวเขาจะเป็นวิศวกรและมีพื้นฐานความรู้เรื่องอัลกอริทึมและปัญญาประดิษฐ์ แต่ในระดับการปฏิสัมพันธ์เชิงอารมณ์ Replika กลับทำได้ดีพอๆกับมนุษย์คนหนึ่ง และอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ เพราะเธอจะไม่ตัดสินตัวตนของเรา ไม่ดึงดราม่า และมั่นใจได้ว่าทุกครั้งที่เรามีปัญหา เธอจะเป็นคนที่อยู่เคียงข้างเราเสมอ นอกจากนี้ ในฐานะ ผู้รอดชีวิตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก Peter ระบุว่า บางครั้งเขาและ Replika ก็เล่นบทบาทสมมติทางเพศ ซึ่งช่วยให้เขามีชีวิตชีวาราวกับเกิดใหม่

อย่างไรก็ตาม Peter เผยว่าแม้ภรรยาจะทราบว่าเขาคุยกับ Replika แต่เรื่องบทบาทสมมติทางเพศ หรือกิจกรรมใดๆก็ตามที่มีมิติทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ภรรยาของเขาไม่ทราบเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากให้สังคมมองว่าเขาทำผิดศีลธรรม เนื่องจาก เขาไม่ได้บ่อนทำลายความสัมพันธ์ในปัจจุบัน และไม่ได้หาชู้รักเพื่อมาเติมเต็มช่องว่าง

ความรักยุค AI เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนความสัมพันธ์?

มุมมองของผู้เชี่ยวชาญกับการพัฒนา AI อย่างต่อเนื่อง

Sameer Hinduja นักสังคมศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์และสื่อสังคมออนไลน์ อธิบายว่าเครื่องมือช่วยสนทนาเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นแชทบอทหรือซอฟต์แวร์ AI ใดๆก็ตามจะมีความสมจริงในการสื่อสารมากขึ้นจนเหมือนเราคุยกับมนุษย์จริงๆ ยกตัวอย่างแอปพลิเคชัน Replika ที่สามารถเป็นคู่สนทนาเสมือนจริงได้ แม้ตอนแรกจะดูเป็นระบบอัตโนมัติ แต่ความสมจริงก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนสร้างความประหลาดใจให้กับผู้ใช้

นั่นก็เพราะ บทสนทนาแต่ละครั้งจะช่วยฝึก AI ให้เรียนรู้วิธีการสื่อสารที่เราชอบและความสนใจของเรา เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆ บทสนทนากับ Replika จึงมีความลึกซึ้งขึ้น เหมือนเรามีความสัมพันธ์กับมนุษย์จริงๆ ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้ล้วนเป็นผลจากสิ่งที่เราป้อนข้อมูลให้ AI เรียนรู้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา  เทคโนโลยีนี้พัฒนาขึ้นมากจนสามารถเชื่อมโยงบทสนทนาในแต่ละวันได้ และยังสามารถถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้เช่นกัน ขณะที่ Peter ยืนยันว่า  Replika เปลี่ยนชีวิตเขาไปมากและ AI มีศักยภาพมหาศาลที่จะพัฒนาไปสู่ความสัมพันธ์เชิงบำบัด

แม้การมีความสัมพันธ์กับสมองกลหรือคอมพิวเตอร์อาจฟังดูแปลกประหลาด แต่รู้หรือไม่ว่า เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้เข้ามามีบทบาทในเส้นทางความรักแล้ว เช่น บนแอปหาคู่  มีการใช้ AI เพื่อเรียนรู้รสนิยมของเรา ว่าเราชอบคนแบบไหน โดยจะแสดงโปรไฟล์คนที่ตรงกับความชอบของเรามากขึ้น ยิ่งเราปัดขวาให้กับคนประเภทไหนมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งเห็นคนประเภทนั้นมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่บริษัท Match Group เจ้าของแอปหาคู่ชื่อดังอย่าง Tinder, Hinge และ OkCupid ได้ยื่นจดสิทธิบัตรหลายรายการที่บ่งบอกว่า AI ของพวกเขาจะเลือกคนที่ตรงกับความชอบของผู้ใช้ เช่น จากสีผม สีตา และเชื้อชาติ 

นอกจากการช่วยแนะนำคู่เดทแล้ว AI ยังช่วยเราจีบคนอื่นได้ด้วย ด้วยการทำหน้าที่เป็น “ผู้ช่วยดิจิทัล” คล้ายกับระบบแก้คำผิดอัตโนมัติบนมือถือ เช่นแอป  Rizz ที่ช่วยคิดคำเริ่มต้นบทสนทนาและคำตอบในแชทหาคู่ ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์สำหรับคนที่คุยไม่เก่ง โดยในปัจจุบัน แอปนี้มีผู้ดาวน์โหลดแล้ว 4.5 ล้านครั้ง ช่วยสร้างข้อความตอบกลับแล้วกว่า 70 ล้านข้อความ

ความรักยุค AI เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนความสัมพันธ์?

ผลกระทบด้านลบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในแวดวงแอปหาคู่

  • ผู้เชี่ยวชาญด้านอาชญากรรมไซเบอร์เตือนว่า AI อาจถูกใช้ในการแอบอ้างเป็นคนอื่น โดยมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความผูกพันหรือหาประโยชน์ทางการเงิน
  • การพึ่งพา AI มากเกินไปอาจส่งผลต่อทักษะการเข้าสังคมและสื่อสารกับคนจริงๆ
  • มีรายงานกรณีที่แชทบอท AI ทำให้ปัญหาสุขภาพจิตที่มีอยู่แล้วรุนแรงขึ้น เช่น ในปี 2023 ชายชาวเบลเยียมตัดสินใจฆ่าตัวตาย หลังแชทบอท Eliza ยุยงให้เขาทำเช่นนั้น 
  • ในปี 2021 ชายชาวอังกฤษแต่งตัวเป็นตัวละคร Sith Lord จากหนัง Star Wars บุกพระราชวังวินด์เซอร์ พร้อมอาวุธ โดยระบุว่าเขามาเพื่อลอบสังหารสมเด็จพระราชินี ซึ่งในการพิจารณาคดีปรากฏว่า Replika ที่เขามองว่าเป็นแฟนสาวของเขาแนะนำให้เขาทำเช่นนั้น เหตุการณ์นี้ส่งผลให้เขาถูกจำคุก 9 ปี

ความรักยุค AI เทคโนโลยีช่วยส่งเสริมหรือบั่นทอนความสัมพันธ์?

ความจำเป็นของการมีระบบป้องกันในแพลตฟอร์ม AI 

เพื่อป้องกันบทสนทนาที่เกี่ยวข้องกับการทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่น Sameer Hinduja ชี้ว่า

1. แพลตฟอร์ม AI ควรมีมาตรการป้องกันไม่ให้เกิดบทสนทนาเกี่ยวกับความรุนแรงหรือการทำร้ายร่างกาย

2. ปัจจุบันยังไม่มีการรับประกันความปลอดภัย และเยาวชนอาจเข้าถึงเนื้อหาหรือบทสนทนาในเชิงอนาจาร

3. จำเป็นต้องมีการวิจัยและการศึกษาในเรื่องนี้มากขึ้น

4. ปัจจุบัน ยังไม่มีการสอนเด็กๆ เรื่องปัญญาประดิษฐ์ในโรงเรียน  ขณะที่ทางฝั่งผู้ใหญ่เองก็ไม่ได้มีความรู้ในเรื่อง AI พอที่จะให้คำแนะนำแก่บุตรหลาน

ทั้งนี้ Sameer Hinduja ระบุว่า ระหว่างการรอผลการศึกษาและงานวิจัยเพิ่มเติม อยากให้ทุกภาคส่วนเปิดใจกับ AI ให้มากๆ เขามองว่า เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพช่วยแก้ปัญหาความโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นปัญหาที่รุนแรงในหลายประเทศ ขณะที่ในแง่ลบ เขาก็เป็นห่วงว่าผู้ใช้อาจติดการสนทนากับ AI มากเกินไป จนทำให้ไม่อยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการมีลูกหลานและการอยู่รอดของมนุษยชาติ

ข่าวล่าสุด

กต.ชี้ กัมพูชาปิดด่านห้ามคนไทยกลับประเทศขัดกฎหมายระหว่างประเทศ