ทำไมสหรัฐฯจึงจะแบน Tiktok กับความหวังที่อาจมาพร้อมการเลือกตั้ง?(1)
ข่าวการแบน Tiktok ของสหรัฐฯ นับเป็นการสั่นสะเทือนวงการโซเชียลมีเดียและเทคโนโลยีครั้งใหญ่ แต่เราต่างทราบว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Tiktok ตกเป็นเป้า วันนี้เราจึงพาไปย้อนชมกันสักเล็กน้อยถึงประเทศที่แบน Tiktok และร่างกฎหมายที่สหรัฐฯกำลังจะนำมาใช้งาน
เมื่อพูดถึงโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมในการใช้งาน เชื่อว่า Tiktok ย่อมติดโผในบรรดารายชื่อเหล่านั้น โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กรุ่นใหม่หรือวัยรุ่นซึ่งมีความรู้สึกว่าเติบโตมาด้วยกัน เนื่องจากแพลตฟอร์มนี้เพิ่งเปิดตัวใช้งานเป็นทางการเมื่อปี 2017 เป็นต้นมา และได้รับความนิยมแพร่หลายในช่วงการระบาดของโควิด
ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งาน Tiktok มีมากกว่า 1 พันล้านคนจนกลายเป็นแพลตฟอร์มยักษ์ใหญ่ที่ทั่วโลกต่างจับตามอง สร้างกระแสในกลุ่มคนรุ่นใหม่รวมถึงร้านค้าน้อยใหญ่ต่างๆ อย่างไรก็ตามทุกอย่างกลับเริ่มสะดุดจนชวนให้ตั้งคำถาม เมื่อสหรัฐฯกำลังจะผ่านร่างกฎหมายแบน Tiktok ออกมา รวมถึงอีกหลายประเทศที่มีแนวโน้มทำแบบเดียวกัน
วันนี้เราจึงมาลองไล่เรียงเหตุผลกันเสียหน่อยว่าทำไม Tiktok จึงตกเป็นเป้าโจมตีจากนานประเทศ
จุดกำเนิด Tiktok กับความนิยมแบบก้าวกระโดด
Tiktok เปิดตัวด้วยการเป็นแพลตฟอร์มลงวีดีโอขนาดสั้นความยาวไม่เกิน 60 วินาที ในช่วงแรกเน้นหนักไปทางคลิปวีดีโอตลกขบขัน เรื่องสนุกสนาน หรือสาระความรู้ที่จบภายในเวลาอันรวดเร็ว พัฒนามาจากแอปพลิเคชันชื่อ Douyin จากบริษัทแม่ ByteDance ที่ตั้งอยู่ในประเทศจีน
ด้วยรูปแบบการนำเสนอสั้นกระชับโดนใจคนรุ่นใหม่ การเป็นแพลตฟอร์มใหม่จึงสามารถสร้างกลุ่มเพื่อนและสังคมง่าย อีกทั้งการแพร่ระบาดของโควิด ทำให้ Tiktok แพร่หลายได้รับความนิยมในการใช้งานทั่วไป โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานอายุราว 18 – 34 ปี ที่ครองสัดส่วนผู้ใช้งานมากกว่า 96%
ความสำเร็จในส่วนนี้ทำให้ Tiktok กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มใหญ่ซึ่งมีฐานผู้ใช้กว้างขวาง ประกอบความนิยมคอนเท้นท์คลิปสั้นที่พวกเขาเป็นผู้สร้างกระแส นำไปสู่การสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่รวมถึงการโฆษณาที่มีมูลค่าและสร้างรายได้แก่บริษัทอย่างมหาศาล ผลักดันให้ Tiktok กลายเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียชั้นนำของโลก
อย่างไรก็ตามด้วยการเติบโตอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่น Tiktok จึงอาจเป็นโซเชียลมีเดียที่มีภาพลักษณ์ไม่ดีนักจากแนวทางคอนเท้นท์ที่ได้รับความนิยม ประกอบกับเดิมทีบริษัทแม่ของ Tiktok ยังมาจากจีน นำไปสู่การตั้งคำถามในหลายระดับจนเริ่มมีการสั่งแบนในที่สุด
การสั่งแบน Tiktok สหรัฐฯไม่ใช่เจ้าแรก
สำหรับท่านที่ติดตามข่าวคงทราบกันดีว่า การแบน Tiktok ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงในสหรัฐฯ แพลตฟอร์มนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเป้าโจมตีหลักจากนานาประเทศ ทั้งในแง่ความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล การนำข้อมูลไปใช้งาน ไปจนประเด็นต่อผู้เยาว์จนถูกตั้งคำถาม
ส่วนที่สร้างความไม่สบายใจในหลายประเทศคือ การที่บริษัทแม่ของ Tiktok อย่าง ByteDance ตั้งอยู่ในจีน ที่อยู่ภายใต้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติและอิทธิพลรัฐบาลจีน จึงอาจนำไปสู่การแบ่งปันข้อมูลที่ได้รับจากผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน การนำข้อมูลส่วนตัวของประชาชนไปใช้ประโยชน์ หรือมีการเก็บข้อมูลมากเกินจำเป็นจนส่งผลต่อความมั่นคงประเทศ
นอกจากนี้หากมีการบังคับควบคุมจากทางรัฐบาลจีนโดยตรง Tiktok อาจถูกนำมาใช้งานในการกระจายข่าวสารที่ไม่ถูกต้อง ให้ข้อมูลผิดพลาด โฆษณาชวนเชื่อ หรือแม้แต่สงครามข่าวสารที่เป็นหัวใจหลักแห่งโลกปัจจุบัน การตั้งคำถามในส่วนนี้ทำให้หลายประเทศพากันมอง Tiktok ในแง่ลบ
ในส่วนนี้มีการโต้แย้งจากทางผู้ก่อตั้ง Tiktok ว่า บริษัทแม่อย่าง ByteDance ไม่มีสิทธิเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้งานในต่างประเทศมากนัก เนื่องจากเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้งานและฐานข้อมูลหลักและสำรองล้วนถูกตั้งเอาไว้นอกประเทศ ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายการควบคุมข้อมูลในประเทศนั้นๆ
ข้อโต้แย้งเหล่านี้กลับไม่อาจเบาสถานการณ์ความไม่ไว้วางใจจากนานาชาติ ประเทศแรกที่เคลื่อนไหวคืออินเดียที่สั่งแบน Tiktok และแอปพลิเคชันจีนกว่า 59 แอพช่วงกลางปี 2020, คีร์กีซสถานก็สั่งแบน Tiktok โดยให้เหตุผลเพื่อปกป้องเยาวชน รวมถึงแคนาดาที่เริ่มมีการพิจารณาว่า Tiktok เป็นภัยความมั่นคงหรือไม
ร่างกฎหมายการแบน Tiktok ในสหรัฐฯ
สำหรับสหรัฐฯประเด็นในการแบน Tiktok ได้รับการพูดถึงเป็นครั้งแรกในสมัย โดนัลด์ ทรัมป์ ในช่วงเดือนกันยายนปี 2020 นำไปสู่คำสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐลบแอปพลิเคชันนี้ออกจากเครื่อง และล่าสุดประเด็นนี้ได้รับการพูดถึงอีกครั้ง เมื่อมีการส่งร่างกฎหมายแบน Tiktok เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร
ร่างกฎหมายฉบับนี้ใช้เวลาในการพิจารณาและผ่านการลงมติอย่างรวดเร็วโดยใช้เวลาเพียง 4 วัน อีกทั้งยังผ่านการพิจารณาจากวุฒิสภาสหรัฐฯมาแล้ว เมื่อรวมกับท่าทีเขิงสนับสนุนร่างกฎหมายนี้อย่างเต็มรูปแบบของประธานาธิบดี โจ ไบเดน กฎหมายฉบับนี้จึงจะมีผลบังคับใช้ในอีกไม่ช้า
เมื่อร่างกฎหมายฉบับนี้ผ่านการพิจารณาจะทำให้ Tiktok ถูกบังคับให้ขายกิจการของบริษัทแก่บริษัทที่รัฐบาลสหรัฐฯเห็นชอบภายใน 180 วัน มิเช่นนั้นแอปพลิเคชันจะถูกสั่งระงับการใช้งานผ่านช่องทาง App store และ Play store จนไม่สามารถใช้งานในสหรัฐฯในที่สุด
จากการประเมินขนาดของ Tiktok กรณีมีการขายกิจการเกิดขึ้น บริษัทที่สามารถซื้อกิจการได้จริงคงมีเพียงบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ที่เราต่างคุ้นชื่ออย่าง Google, Meta, Amazone, Apple หรือ Microsoft ที่เคยแสดงความสนใจในการซื้อ Tiktok ตั้งแต่เมื่อปี 2020
อย่างไรก็ตามด้วยมูลค่าของ Tiktok ในสหรัฐฯนั้นมหาศาล อีกทั้งการเข้าซื้อกิจการของบริษัทใหญ่ยังติดขัดข้อกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ซึ่งหลายบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างประสบปัญหาและกำลังถูกฟ้องร้องจากทางรัฐบาลเช่นกัน การขยับตัวเพื่อซื้อขายจึงทำได้ยาก และอาจไม่สามารถดำเนินการตามกรอบเวลา 180 วันได้
นั่นทำให้ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้ Tiktok ถูกระงับการเข้าถึงในสหรัฐไปในที่สุด
ที่มา
https://www.oberlo.com/statistics/tiktok-age-demographics
https://www.brandbuffet.in.th/2019/12/zhang-yiming-tiktok/
https://www.nytimes.com/2024/03/22/business/tiktok-india-ban.html
https://techxplore.com/news/2024-03-tiktok-national-canada-minister.html
/www.npr.org/2024/03/13/1237501725/house-vote-tiktok-ban
https://techxplore.com/news/2024-03-tiktok-election-trump-opposes.html