'มาฆกะเทยไทย' พลังแห่งคอมมูนิตี้ที่ไม่ควรเป็นได้แค่เรื่อง ‘สนุก’
การรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมายของเหล่า LGBTQIA+ ที่ซอยสุขุมวิท 11 แสดงให้เห็นถึงพลังของชุมชนที่มีความหลากหลายทางเพศได้จริง แต่การเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นเมื่อคืนจะจบอยู่ที่แค่ ‘สนุก’ หรือเป็นการผลิตซ้ำวาทกรรมที่มีต่อคำว่า ‘กะเทย’ หรือไม่?
ย้อนดู Pride Parade การรวมตัวที่ไม่ได้นัดหมาย สู่เทศกาลสำคัญของโลก!
อยากจะพาย้อนไปดูการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญของกลุ่ม LGBTQIA+ .. การเคลื่อนไหวหนึ่งที่ไม่พูดถึงเลยไม่ได้คือการเดินขบวนของกลุ่มผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ หรือที่เราเรียกกันว่า Pride Parade
หากย้อนกลับไปวันที่ 28 มิถุนายน 1969 ในยุคที่เพศทางเลือกยังไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม บาร์เกย์ชื่อดังอย่าง ‘The Stonewall Inn’ ซึ่งตั้งอยู่บนถนนคริสโตเฟอร์ ณ เมืองนิวยอร์ก มีกลุ่มชาว LGBTQIA+ สังสรรค์กันอยู่ ระหว่างนั้นมีตำรวจกว่า 200 นายบุกเข้ามาก่อจลาจลอย่างรุนแรง โดยมุ่งเป้าไปที่กลุ่มผิวสีและคนที่แสดงออกว่าเป็น LGBTQIA+ มีการต่อสู้กันยาวนาน 6 วัน โดยถือว่าเป็นการสู้กลับและเรียกร้องสิทธิและความเท่าเทียมในฐานะมนุษย์ นำโดย Marsha P.Johnson ซึ่งการกระทำครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ชาว LGBTQIA+ คนอื่นๆ จากหลายแห่งทั่วประเทศ ออกมาประกาศถึงเพศสภาพของตัวเองกับครอบครัว จนบางคนโดนไล่ออกจากบ้าน
Marsha ถึงกับต้องก่อตั้งมูลนิธิเพื่อดูแลเยาวชนที่ต้องถูกไล่ออกจากบ้านจากเหตุการณ์ดังกล่าว หนึ่งปีต่อมาพวกเขาได้จัดงานพาเหรดขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่ออุทิศให้กับเหตุการณ์ที่บาร์สโตนวอล ซึ่งทำให้มีผู้ร่วมเดินพาเหรดกว่าหลายพันคน ที่พร้อมใจกันมาเดินขบวนเรียกร้อง บางคนนัดกัน บางคนก็ไม่ได้รู้จักกัน ครอบคลุม 15 ช่วงตึกในเมืองนิวยอร์ก จากวันนั้นได้มีการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศมาโดยตลอด มีการใช้คำว่า Gay ซึ่งแทนผู้ที่ไม่ได้มีเพศตรงกับเพศสภาพที่ติดตัวมา มีการประชุมของกลุ่มที่สนับสนุนตามชั้นใต้ดินต่างๆ ภายในเวลาแค่หนึ่งปีคอมมูนิตี้เหล่านี้ได้กระจายไปถึงยุโรป และออกมาเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียมของพวกเขาอย่างมากมาย .. การเคลื่อนไหวพัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงยุคศตวรรษที่ 21 ซึ่งถือว่าเป็นศตวรรษที่กลุ่ม LGBTQIA+ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะมีกฎหมายยอมรับเพศสภาพ การสมรสเท่าเทียมออกมาในหลากหลายพื้นที่ทั่วโลก
ประเทศไทยก็มีการจัด Pride Parade แต่หากย้อนไปดู Pride Parade ครั้งแรกที่ไทย ก็ต้องบอกว่า ‘มาโดยไม่ได้นัดหมายเช่นกัน’ โดยจุดประสงค์ของผู้จัดงานในครั้งแรกคือการจัด ‘Bangkok Gay Festival 1999' ซึ่งไอเดียแรกไม่ได้จะปิดถนนแต่อย่างใด แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้คนมารอชมหนาแน่น จนเต็มถนนในที่สุด ซึ่งเป็นการจัดงานแบบนี้ครั้งแรกในเอเชีย
และกลับมาบูมขีดสุดในปี 2565 ตามกระแสสิทธิ ความหลากหลายทางเพศ ที่กระเพื่อมอยู่ทั่วโลก รวมไปถึงเข้าไปถึงสภาและการเมืองไทย ผู้จัดงานอย่าง 'บางกอกนฤมิตรไพรด์' เคยให้สัมภาษณ์กับโพสต์ทูเดย์ว่า การจัดงานในครั้งนั้นไม่ได้คาดหมายว่าคนจะเยอะขนาดนี้ แต่เมื่องานเริ่มไปสักพัก ผู้คนต่างหลั่งไหล และแต่งตัวมาร่วมงานกันโดยมิได้นัดหมาย เพื่อแสดงพลังให้ทุกคนได้เห็น! และทำให้งาน Bangkok Pride ในปีนั้นมีผู้ร่วมงานกว่า 20,000 คน และบินมาจากหลายแห่งทั่วโลก! ในปี 2567 นี้ก็จะมีการจัด Bangkok Pride เช่นกัน โดยมุ่งประเด็นไปที่การขับเคลื่อนเรื่องสมรสเท่าเทียม
นอกจากนี้ LGBTQIA+ ยังมีคอมมูนิตี้และการสื่อสารของตัวเอง พวกเขามีภาษาลูไว้พูดคุยและเข้าใจกันเอง มีช่องทางสื่อสารตัวเอง และมีคอนเนคชันทั่วโลก ในประเทศไทยมีคอมมูนิตี้ที่ช่วยเหลือ LGBTQIA+ ในหลายแง่มุม ไม่ว่าจะเป็น สมาคมซึ่งขับเคลื่อนในเรื่องการป้องกันสุขภาพของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ชุมชน LGBTQIA+ ในที่ทำงานต่างๆ รวมไปถึงในมหาวิทยาลัย ชุมชนที่ขับเคลื่อนด้านการสอนสุขศึกษาเรื่องความหลากหลายทางเพศ ฯลฯ
คำว่า ‘คอมมูนิตี้’ หากมองในมุมของนักการตลาด พวกเขามองว่า คอมมูนิตี้ทำให้ผู้คนสนใจที่จะซื้อสินค้าบริการมากกว่า เกิดความเชื่อ ความผูกพันกับผู้คนที่มีความชื่นชอบ มีเป้าหมายร่วมกัน และทำให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากกว่า ... คอมมูนิตี้ LGBTQIA+ ก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้จะไม่รู้จักกัน แต่การต่อสู้กับการยอมรับของสังคมมานาน ทำให้พวกเขาเห็นใจและมีเป้าหมายร่วมกัน รู้สึกถึงความเป็นพวกพ้องต่อกัน ยิ่งรัฐผลักไสพวกเขามากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งผูกพันกับชุมชนของพวกเขาอย่างแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
จนทุกวันนี้ LGBTQIA+ กลายเป็นคอมมูนิตี้ที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก นอกจากประเด็นความหลากหลายทางเพศแล้ว การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนดังกล่าวยังขยายขอบเขตไปสู่เรื่องสิทธิและความเท่าเทียมในประเด็นต่างๆ รวมไปถึงการออกมาพูดในประเด็นของการใช้ชีวิตในรูปแบบของตัวเองให้ดีที่สุด โดยหลุดจากกรอบหรือความคาดหวังของสังคม ซึ่งเป็นข้อความที่แข็งแกร่งและเป็นหลักของการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเลยทีเดียว
นอกจากนี้ในด้านเศรษฐกิจมีหลายธุรกิจที่มองว่ากลุ่ม LGBTQIA+ เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพด้านเศรษฐกิจ และเมื่อเจอ 'ของดี' พวกเขาจะเกิดการบอกต่อกันเอง โดยข้อมูลในปี 2561-2562 ระบุว่าไทยมีรายได้จากการท่องเที่ยวในกลุ่มนี้เป็นอันดับหนึ่งในเอเชียและอันดับ 4 ของโลก และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2593 ประชากรชาว LGBTQIA+ จะแตะ 1,000 ล้านคน
อาจเรียกได้ว่าการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเหล่านี้ เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์โลก เพราะมันได้เปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติ วิถีการใช้ชีวิต ต่อโลกนี้! และนี่คือการใช้พลังของชุมชนที่ได้รับการยกย่องและยอมรับจากคนทั่วโลก และสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงได้จริง!
การรวมตัวที่ซอยสุขุมวิท 11 รวมตัวเพื่อขับเคลื่อน?
บทความนี้ไม่ได้สนับสนุนความรุนแรงที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เพราะการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ทรงพลังหลายครั้งไม่จำเป็นต้องรุนแรงเสมอไป อย่างไรก็ตามเราพอจะเห็นได้ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความคับข้องใจ ความไม่เชื่อใจต่อกระบวนการของรัฐ การถูกละเลยจากรัฐมานานแสนนานในฐานะ LGBTQIA+ จนพวกเขาต้องยืนหยัดบนลำแข้งของตัวเอง ..
อย่างไรก็ตาม กลุ่ม LGBTQIA+ จำนวนมากซึ่งมารวมกันโดยมิได้นัดหมายเมื่อคืน ทำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นชุมชนที่เข้มแข็งมาก แต่จะทรงพลังแค่ไหนก็ต้องรอดูว่าการเคลื่อนไหวที่สุขุมวิท 11 จะสามารถขยายไปสู่ประเด็นทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือประเด็นสังคมอื่นๆ ได้หรือไม่
หวังแค่เพียงว่าสังคมจะไม่ตอบรับการเคลื่อนไหว หรือจับประเด็นการเคลื่อนไหวนี้เพียงเรื่อง ดราม่าตบตีเพื่อความรุนแรง การแก้แค้นชิงชัง หรือการเหยียดเชื้อชาติ ซึ่งไม่ได้สร้างผลดีแต่อย่างใด และเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ... เพราะเบื้องหลังของสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกับประเด็นสังคม แรงงาน การบังคังใช้กฎหมาย ยาเสพติด รวมไปถึงประเด็นการค้าประเวณีอย่างผิดกฎหมายของนักท่องเที่ยวชาวฟิลิปปินส์ในประเทศไทย ซึ่งเป็นการเข้ามาอย่างไม่ถูกต้องและไม่สามารถกระทำได้
การเคลื่อนไหวเมื่อคืนจึงไม่ควรเป็นแค่เรื่อง ‘สนุก’ หรือเป็นแค่ ‘สีสัน’ ของชาว ‘กะเทยไทย’ ด้วยวาทกรรมที่เรียกเสียงเชียร์ หรือแก้แค้นให้สาสมใจ เพราะยิ่งจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ให้กะเทยไทยว่า ‘รุนแรง’ ทั้งๆ ที่ครั้งหนึ่ง 'กะเทยไทย' เคยต่อสู้เพื่อให้หลุดจากการตีตราของสังคม .. กลุ่มคนหลากหลายทางเพศในไทยมาไกลกว่านั้น พวกเขาเรียกร้องสิทธิ ความเท่าเทียม และเรียกร้องให้ทุกคนเห็นศักดิ์ศรี และคุณค่าของมนุษย์ทุกคนอย่างเสมอภาคกัน
แน่นอนว่าความรุนแรงจึงไม่ใช่ทางออก แต่ผู้ที่เกี่ยวข้องและผู้บังคับใช้กฎหมายเองก็ไม่ควรละเลย ทำหน้าที่อย่างดีที่สุดและคลายข้อข้องใจของพวกเขาอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน.


