posttoday

เล็งแก้กฎหมายอุ้มบุญ เปิดกว้าง "คู่สมรส LGBTQ+"

20 กุมภาพันธ์ 2567

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เล็งแก้กฎหมายอุ้มบุญ เปิดกว้างคู่สมรส LGBTQ+ หากกฎหมาย “สมรสเท่าเทียม” เริ่มมีผลบังคับใช้

นพ.สุระ วิเศษศักดิ์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ(สบส.) กล่าวว่า กรมกำลังดำเนินการพิจารณาปรับปรุงแก้ไขพรบ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 หรือกฎหมายอุ้มบุญ โดยมีการกำหนดให้สามารถดำเนินการได้ในคู่สมรส ไม่ได้ระบุว่าต้องเป็นเพศชายกับเพศหญิง ดังนั้น หากเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องตาม

กฎหมายก็สามารถทำอุ้มบุญ แต่ต้องบอกรายละเอียด ซึ่งการเสนอแก้ไขพร.บ.ได้มีการเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี(ครม.)ไปแล้ว  เมื่อมีการเปลี่ยนครม.จึงต้องนำกลับมาทำใหม่ แต่ก็จะยืนยันฉบับแก้ไขตามร่างเดิม เนื่องจากผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์แล้ว  ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการทบทวนของกรม ก่อนนำเสนอครม.อีกครั้ง  

กรณีนี้เป็นการแก้ไขกฎหมายให้มีความทันสมัยขึ้น จึงไม่มีความยุ่งยากเหมือนการออกกฎหมายใหม่ ดังนั้น หากผ่านการพิจารณาของครม. ก็น่าจะส่งไปยังคณะกรรมการกฤษฎีกา กลับเข้าครม.เห็นชอบก็สามารถประกาศได้   จากนั้นกรมจะต้องมาดำเนินการออกกฎกระทรวง ประกาศ หลักเกณฑ์วิธีการต่างๆที่เป็นกฎหมายลูกเพิ่มเติม เพื่อให้สอดคล้องกับส่วนที่มีการแก้ไขในพรบ.

เมื่อถามว่าการแก้ไขกฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายส่งเสริมการมีบุตรหรือไม่ นพ.สุระ ระบุว่า เป็นการดำเนินการร่วมกัน ซึ่งพรบ.อุ้มบุญ นอกเหนือดูเรื่องของการท้องไม่ได้ด้วยตนเอง ก็ยังดูเรื่องท้องได้แต่ท้องยากด้วย โดยการใช้เทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์  อย่างเช่น การทำเด็กหลอดแก้ว หรือการผสมบางอย่างที่ฉีดเข้าไป เป็นต้น

เมื่อถามว่าหากพรบ.สมรสเท่าเทียมมีผลบังคับใช้ กลุ่ม LGBTQ+ สามารถทำอุ้มบุญหรือใช้เทคโนโลช่วยการเจริญพันธุ์ตามกฎหมายนี้ได้หรือไม่ นพ.สุระ กล่าวว่า ก็ต้องมาออกประกาศเพื่อให้คู่สมรสที่ถูกต้องตามกฎหมาย สามารถมีบุตรได้ เช่น ผู้หญิงกับผู้หญิงแต่งงานกันแล้วอยากมีลูก ซึ่งสามารถตั้งครรภ์ได้เองแต่อาจจะต้องใช้ผสมอสุจิคนอื่น ส่วนหากเป็นผู้ชายเป็นคู่สมรสกัน ก็ต้องหาผู้หญิงมาอุ้มบุญก็เข้าสู่การพิจารณาตามหลักเกณฑ์การอุ้มบุญ เพราะไม่มีมดลูก ตั้งครรภ์เองไม่ได้ ทั้งนี้ ย้ำว่าต้องเป็นคู่สมรสที่ถูกต้องมีทะเบียนสมรส ไม่ใช่คู่ชีวิต

“กฎหมายต้องการที่จะคุ้มครองเด็กที่เกิดมาให้ได้มากที่สุด  จึงมีการพิจารณาเรื่องของกรณีระหว่างที่ทำอุ้มบุญ หากเกิดคู่สมรสเสียชีวิตไป คนที่รับอุ้มท้องจะทำอย่างไร ก็พยายามดูในเรื่องเหล่านี้อยู่ เบื้องต้นมีการระบุว่าเป็นหน้าที่ของหญิงที่รับตั้งครรภ์แทนจะต้องดูแลเด็ก แต่กำลังพิจารณาว่าควรปรับแก้ให้เป็นญาติสายตรงของคู่สมรสที่มีกำลังมีทรัพย์สินที่จะสามารถดูแลเด็กได้ อยากแก้ให้เป็นแบบนี้ไม่ใช่ให้เป็นเรื่องของคนรับตั้งครรภ์ เพราะหากฐานะไม่ดีเด็กที่เกิดมาก็จะลำบาก จึงอยากให้เป็นญาติมากกว่า” นพ.สุระกล่าว

 

นพ.สุระ กล่าวด้วยว่า เรื่องความปลอดภัยของผู้รับบริการเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องมีควบคู่กันไปด้วย ดังนั้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และยกระดับการพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ และเพิ่มประชากรรองรับสภาวะสังคมผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ นโยบายสำคัญของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) คือ ส่งเสริมการมีบุตร โดยมาตรการหนึ่งที่จะดำเนินการ คือ ใช้กลไกของพรบ.คุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 

แนวทางป้องกันกรณีจดทะเบียนสมรสปลอมเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์อุ้มบุญ

เมื่อถามถึง แนวทางป้องกันกรณีจดทะเบียนสมรสปลอมเพื่อให้เข้าหลักเกณฑ์อุ้มบุญ ก่อนจะเข้าสู่กระบวนการค้ามนุษย์ นพ.สุระ กล่าวว่า มีหลักเกณฑ์การพิจารณา หากเป็นไปตามที่หลักเกณฑ์กำหนดก็ต้องพิจารณาให้ทำได้ ส่วนคนที่ไม่ทำตามหลักเกณฑ์ แม้จะมีหรือไม่มีกฎหมายฉบับนี้ ก็ยังทำอยู่ ก็เป็นเรื่องของความมั่นคง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็จะต้องติดตามดำเนินการตามกฎหมาย  โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จะดำเนินการตามกฎหมายกรณีการอุ้มบุญที่ผิดกฎหมาย

ส่วนกรณีการให้ชาวต่างชาติมาทำอุ้มบุญที่ประเทศไทย นพ.สุระ กล่าวว่า เป็นอีกกรณีหนึ่ง ซึ่งยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายให้ชาวต่างชาติมาทำอุ้มบุญในประเทศไทยได้ ยังยืนยันว่าตามกฎหมายคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะต้องเป็นคนไทยเท่านั้น

ปัจจุบันในประเทศไทย มีสถานพยาบาลที่ผ่านการรับรองการให้บริการเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ จำนวน 114 แห่ง และคณะกรรมการฯพิจารณาอนุญาตให้ทำอุ้มบุญถูกต้องตามกฎหมายแล้ว 745 คนนับตั้งแต่ที่พรบ.มีผลบังคับใช้เมื่อปี 2558 มีอัตราความสำเร็จในการให้บริการรักษาผู้มีบุตรยากถึง 46 % ซึ่งถือเป็นอัตราความสำเร็จที่ค่อนข้างสูง