TDRI ชี้ 3 ปัจจัยที่ทำให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นระดับชาติล้มเหลว!
หลายวันมานี้ ค่าฝุ่นในกทม.เข้าขั้นวิกฤต จนต้องตั้งคำถามว่ารัฐมีการจัดการกับปัญหาฝุ่นที่เกิดขึ้นมาหลายปีนี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพเพียงพอหรือไม่? โพสต์ทูเดย์ขอพาย้อนดูวิจัยจาก TDRI ชี้ 3 ปัจจัยที่ทำให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นระดับชาติล้มเหลว!
ย้อนดูวิจัยจาก TDRI เผยข้อจำกัด 3 ประการที่ทำให้การแก้ไขปัญหาฝุ่นระดับชาติมีจุดอ่อน (ในปี 2023 ) ดังนี้
ประการแรก แนวทางการจัดการฝุ่น PM2.5แบบภัยพิบัติ ไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม เช่นการตั้งกรรมการในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ขาดการจัดการและการศึกษาวิเคราะห์แบบต่อเนื่องโดยมืออาชีพ กรณีนี้ต้องเปลี่ยนระบบการจัดการเป็นการจัดการเชิงโครงสร้าง
ประการที่สอง ท้องถิ่นขาดเงิน และถูกซ้ำเติมจากกฎระเบียบต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารจัดการ
ความยากลำบาก ประการที่สาม คือ แม้จะมีการจัดการฝุ่น PM2.5 ภายในจังหวัดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด มีความร่วมมือจากหน่วยราชการต่างๆ ชุมชน และกลุ่มประชาสังคม มีมาตรการป้องกันทั้งในเมืองและชนบท ก็ไม่อาจแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ได้ ดั่งประสบการณ์ของกลุ่มประชาสังคมในเชียงใหม่ ที่มีการจัดการร่วมกันเป็นกลุ่มจังหวัด ก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะฝุ่น PM2.5 ส่วนหนึ่งพัดข้ามมาจากจังหวัดใกล้เคียงในภาคเหนือและประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะชายแดนฝั่งพม่าที่ปลูกข้าวโพด
ส่วนชายแดนเขมรก็มีการปลูกอ้อยและเผาไร่อ้อย ทำให้ฝุ่น PM2.5 พัดเข้าถึงกรุงเทพฯ แต่นักวิจัยและผู้กำหนดนโยบายของไทยยังไม่มีข้อมูลและความรู้ว่าขอบเขตทางภูมิศาสตร์ของฝุ่น PM2.5 ที่เรียกว่า airshed (คล้ายกับขอบเขตของลุ่มน้ำที่เรียกว่า watershed) เช่น ในภาคเหนือ airshed กินพื้นที่เท่าไร และในประเทศไทยมี airshed กี่แห่ง แต่ละแห่งครอบคลุมพื้นที่จังหวัดใดทั้งในประเทศและนอกประเทศ เรารู้แค่หยาบๆว่า 60-65% ของฝุ่นpm2.5 ในเชียงใหม่มาจากต่างจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้าน การกำหนดขอบเขตของ airshed ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากและผู้เชี่ยวชาญหลายด้านเพื่อสร้างแบบจำลอง เพราะนอกจากสภาพภูมิอากาศ กิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว สภาพภูมิประเทศก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะในภาคเหนือที่เป็นหุบเขาจากใต้ไปสู่ทิศเหนือ ประกอบกับแอ่งกระทะหลายๆแอ่ง ทำให้ฝุ่นที่พัดเข้ามาจากตะวันออกติดอยู่ในแอ่งเหล่านั้นในช่วงปลายฤดูหนาวต่อกับต้นฤดูร้อน
ตัวอย่างการจัดการ ระบบขนส่ง อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องยกระดับเพื่อแก้ไข PM2.5
นอกจากนี้ทาง TDRI ยังเสนอแนะข้อคิดเห็น เกี่ยวกับมาตรการที่จะใช้แก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็กจากยานยนต์ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้าง PM2.5 ในเมืองไว้อย่างน่าสนใจดังนี้
1.แก้ไขปัญหาแบบ System Approach
แนวทางแก้ไขปัญหา PM2.5 จากภาคยานยนต์ ทีมีประสิทธิภาพที่มากทีสุดคือ แนวทางแบบ System Approach ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศต่างๆ เป็นการดำเนินมาตรการต่างๆ ร่วมกัน เช่น การออกกำหนดเรื่องการระบายไอเสียสำหรับรถใหม่ ส่วนรถที่อยู่ในระบบออกกฎให้ติดตั้งอุปกรณ์ดักจับฝุ่น ยกระดับมาตรฐานเชื้อเพลินเป็น Euro 5
2. ไม่ควรประกาศใช้มาตรการใดมาตรการหนึ่งเพียงเท่านั้น
นอกจากมาตรการที่จะต้องใช้ทั้งเรื่องมาตรฐานเชื้อเพลิงและมาตรฐานเครื่องยนต์แล้ว ควรจะออกมาตรการกับรถที่มีอายุใช้งานสูง เช่น รถยนต์ที่มีอายุนานและมาตรฐานต่ำกว่า Euro 5 จะต้องมีการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติม การกำหนดให้มีการเข้มงวดในประเด็นตรวจสอบสภาพรถก่อนมีการต่อทะเบียนสำหรับรถที่มีอายุนาน เป็นต้น
3. การ Phase-out รถยนต์เก่าที่มีอายุใช้งานเกิน 15-20 ปีควรให้ความสำคัญในประเด็นความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากผู้ใช้งานรถยนต์เก่าจำนวนมากมีรายได้น้อย
เช่น การมีมาตรการเงินอุดหนุน มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้นำรถยนต์เก่าเพื่อนำไปซื้อรถยนต์คันใหม่ ในขณะเดียวกันรัฐก็ต้องควรกำหนดเงื่อนไขกำกับที่ส่งเสริมความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม เช่น รถยนต์ที่ซื้อจะต้องเป็นมาตรฐาน Euro 5 หรือรถยนต์ EV จึงจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีหรือเงินอุดหนุน โดยกรณีของประเทศสเปน รัฐบาลกำหนดเงินอุดหนุนการเทิร์นรถยนต์เก่าตามประเภทของรถยนต์ใหม่ที่ซื้อ หากซื้อรถยนต์ใหม่เป็นไฮบริดจะได้รับเงินอุดหนุนจำนวน 600 ยูโร และหากซื้อรถยนต์ EV จะได้รับเงินอุดหนุนจำนวน 4,000 ยูโรซึ่งเป็นแรงจูงใจให้เกิดการซื้อรถที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า
4. กำหนดระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสม
การกำหนดมาตรฐานรถยนต์และเชื้อเพลิงเป็นเรื่องที่ภาคเอกชนจะต้องใช้เวลาและมีการลงทุน ภาครัฐจึงควรพิจาณาระยะเวลาเปลี่ยนผ่านที่เหมาะสมและสมเหตุสมผล เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ น้อยที่สุด
5. กำหนด Roadmap การดำเนินการแต่ละมาตรการตามความเหมาะสม โดยแบ่งเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว
มาตรการระยะสั้น เป็นมาตรการที่ดำเนินได้ในระยะ 1-2 ปี เพื่อช่วยบรรเทาค่าฝุ่น PM2.5 ได้แก่ มาตรการยกระดับความเข้มข้นตรวจสอบสภาพรถยนต์เก่า มาตรการกวดขันรถยนต์ที่ปล่อยไอเสียเกินค่ามาตรฐาน เป็นต้น
มาตรการระยะกลาง เป็นมาตรการที่ดำเนินการได้ในระยะ 3-5 ปี ได้แก่ การยกระดับมาตรฐาน Euro 5 ของน้ำมันเชื้อเพลิง และรถยนต์ใหม่ที่จะเข้าระบบ มาตรการยกเลิกการใช้รถยนต์ที่มีอายุมาก มาตรการปฏิรูปการจัดเก็บภาษีรถยนต์ตามระยะเวลาการใช้งาน
มาตรการระยะยาว ซึ่งดำเนินการได้โดยใช้เวลา 5 ปี ขึ้นไป ได้แก่ มาตรการส่งเสริมการใช้รถยนต์ EV ที่มีความชัดเจน มาตรการส่งเสริมการใช้งานโครงข่ายรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน ให้ประชาชนใช้งานได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
เริ่มจากนโยบายรัฐ สู่การแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน
จากรายงานของทาง TDRI จะเห็นว่า หนทางการแก้วิกฤติทางอากาศในเรื่อง ฝุ่นPM2.5 นั้น ไม่สามารถสำเร็จได้หากไม่ได้เป็นการแก้ไขในระดับนโยบายชาติ! และเกี่ยวข้องกับนโยบายของกระทรวงหลายกระทรวงที่จะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องในท้ายที่สุด ไม่ใช่เป็นปัญหาแค่กระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง หรือในระดับท้องถิ่นอีกต่อไป ในเมื่อท้องถิ่นก็ไม่ได้มีกำลังและงบประมาณมากพอที่จะจัดการเรื่องที่ใหญ่ขนาดนี้ได้
หากรัฐยังมองการแก้ไขปัญหาเป็นแค่เพียงสภาวะฉุกเฉิน แต่ไม่ได้เป็นการจัดการเชิงระบบทั้งหมด ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นประจำและส่งผลเสียต่อสุขภาพของประชาชน และเกิดการสูญเสียในท้ายที่สุด รวมไปถึงเศรษฐกิจที่เชื่อมต่อกับภาพลักษณ์ของประเทศ อย่างการท่องเที่ยว ก็อาจจะมีปัญหาตามมาได้ในที่สุด.


