รู้ทันซึมเศร้า คาดปี 2030 ผู้ป่วยมาก-กระทบคุณภาพชีวิตอันดับ 1 แซงโรคมะเร็ง!
ชวนคุยกับผอ.โรงพยาบาลรักษาโรคจิตเวชเฉพาะทางอย่าง BMHH เมื่อผลวิจัยพบแนวโน้มโรคซึมเศร้าในปี 2030 จะมีจำนวนสูงและสร้างผลกระทบกับคุณภาพชีวิตมาเป็นอันดับหนึ่ง แซงหน้าแม้กระทั่งโรคมะเร็งจากสังคมที่เปลี่ยนไป ประชาชนต้องรู้เท่าทันอย่างไร?
สถิติโลกพบปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น คาดแซงหน้าโรคมะเร็ง
ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ จิตแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาล BMHH เปิดเผยกับสำนักข่าวโพสต์ทูเดย์ว่า
ในเชิงสถิติ ทางด้านองค์การอนามัยโลก (WHO) มีการให้ข้อมูลว่า ปัญหาเจ็บป่วยด้านจิตเวชกระทบกับคุณภาพชีวิตของประชาชนในโลกเป็นอย่างมาก ด้วยเหตุผล 2 ข้อ คือ ปริมาณเจ็บป่วยสูงขึ้น และการเจ็บป่วยด้านจิตเวชเป็นการเจ็บป่วยเรื้อรัง ใช้เวลารักษานานซึ่งกระทบกับคุณภาพชีวิตถ้าไม่ได้รับการรักษา
“ทางด้านมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ทำวิจัยและชี้แนวโน้มให้เห็นว่า โรคที่จะมีจำนวนสูงและสร้างผลกระทบกับคุณภาพชีวิตอันดับหนึ่งในปี 2030 คือโรคซึมเศร้า ชนะโรคมะเร็ง โรคติดเชื้อ หรือโรคอื่นๆ จากสังคมที่เปลี่ยนไป” นพ.รณชัยเผย
นอกจากนี้ อีกปัญหาที่สำคัญและนับว่าเป็นโรคทางจิตเวชอย่างหนึ่งคือ ปัญหาเรื่องยาเสพติด โดยเฉพาะยาเสพติดในประเภท ‘บุหรี่ไฟฟ้า’ ที่สามารถสร้างนิสัยของการเสพติดได้ง่ายมากขึ้น โดยพบว่าในสหรัฐอเมริกา เด็กนักเรียนในระดับชั้นประถมใช้บุหรี่ไฟฟ้ามากขึ้น และเกือบครึ่งหนึ่งในระดับชั้นมัธยมใช้บุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งการสูบจะมีสารเสพติดที่สูบแล้วหยุดไม่ได้ และสามารถนำไปสู่การเสพติดอย่างอื่นได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้หากไปถึงการติดยาเช่น ยาบ้า ก็จะนำไปสู่อาการโรคจิต หวาดระแวง และก่อให้เกิดปัญหากระทบกับคนอื่นๆ ได้
สำหรับประเทศไทย ตัวเลขจากกรมสุขภาพจิต เผยว่าในปี 2564 ผู้ป่วยโรคจิตเภทที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลสังกัดกรมสุขภาพจิตมีตัวเลขถึง 49,658 คน อันดับถัดมาคือ โรคซึมเศร้า 37,941 คน ต่อมาคือโรควิตกกังวล โรคสมาธิสั้น และติดยาเสพติด นอกจากนี้ยังพบปัญหาฆ่าตัวตาย มีตัวเลขแสดงอยู่ที่ 562 คนในหนึ่งปี ซึ่งเฉพาะที่มีการรายงานเท่านั้น โดยคาดว่าที่ไม่รายงานยังมีอยู่อีกมาก
“เราจะเห็นว่าตัวเลขของคนที่ฆ่าตัวตายจะอยู่ที่ 8 คนต่อหนึ่งแสนคน แต่ในช่วงโควิดจะพุ่งไปที่ 15 คนต่อ 1 แสนคน ซึ่งถือว่าเป็นปัญหาทางโรคจิตเวชที่รุนแรง”
เมื่อดูจากสถิติจากโรงพยาบาล BMHH โรงพยาบาลเฉพาะทางด้านจิตเวชตลอดระยะเวลา 2 เดือนเศษๆ พบมีคนไข้มารักษาถึง 300 กว่าคน พบคนไข้เยอะที่สุดคือโรคซึมเศร้าร้อยละ 27 ถัดมาคือโรควิตกกังวลร้อยละ 25 ปัญหาเรื่องเครียดร้อยละ 13 และโรคที่คล้ายไบโพลาร์ร้อยละ 7
“สาเหตุที่มาปรึกษาคือจากอาการนอนไม่หลับ เป็นปัญหาใหญ่ หรือติดยาเสพติดมารักษาก็มี ถ้ามาด้วยปัญหาโรคซึมเศร้าจะเป็นอายุวัยกลางคน แต่ถ้ามาด้วยโรควิตกกังวลจะเป็นวัยรุ่น และจำนวนพอๆ กันทั้งชายและหญิง แม้ว่าปกติแล้วผู้หญิงจะเยอะกว่าในภาพรวม และโรคไบโพลาร์ เราเจอตั้งแต่ 20 กว่าขึ้นไปก็จะเจอแล้ว ส่วนโรคจิตพอๆ กันทั้งชายและหญิงและเจอทุกช่วงอายุ”
ภาพรวมการรักษาโรคทางจิตเวชของไทยในปัจจุบัน
หากเทียบกับในอดีต ปัจจุบันผู้ป่วยคนไทยมีการตระหนักถึงโรคทางจิตเวชเพิ่มสูงขึ้น และเปิดใจเข้ารับการรักษามากขึ้น
โดย ศ.นพ.รณชัย ให้ข้อมูลว่า “ปัจจุบันนี้ คนไข้ต่างจากสมัยก่อน สมัยก่อนไม่ยอมมา ญาติจะพามา เพราะรู้สึกว่า ถ้าไม่รักษา คนไข้สภาพชีวิตแย่ อย่างโรควิตกกังวล จะกลัวเวลาออกไปข้างนอกดูแลตัวเองไม่ได้ ก็จะกลัวการออกจากบ้าน และเสียคุณภาพชีวิตทั้งการไปทำงานหรือเจอเพื่อนฝูง
เช่นเดียวกับโรคซึมเศร้า ซึ่งสามารถก่อให้เกิดปัญหาใหญ่ที่ต้องระวังมากเลย คือ ปัญหาการฆ่าตัวตาย เพราะโรคซึมเศร้าจะทำร้ายตัวเอง มีความรู้สึกว่าไม่สมควรจะอยู่ และรู้สึกผิด จึงต้องทำร้ายตัวเอง ซึ่งในเคสนี้ญาติจะพามา แต่ในปัจจุบันนี้ต้องเรียนว่า คนไข้โทรเข้ามาปรึกษาเอง เมื่อโทรแล้วรับรู้ว่าปัญหาที่มีสามารถรับการช่วยเหลือได้ เพราะฉะนั้นในปัจจุบันนี้เจ้าตัวจะเป็นผู้ที่โทรและติดต่อเข้ามาและขอรับการรักษา”
ปัจจุบันสถานการณ์การรักษาโรคทางสุขภาพจิตในประเทศไทยดีขึ้นมาก ระดับประเทศจะมีนโยบายช่วยเหลือเรื่องสุขภาพจิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะระดับกระทรวง สปสช. มหาวิทยาลัยทั้งหลาย และจากบุคลากรทางสุขภาพจิตอีกหลายหน่วยงาน
อย่างไรก็ตาม จำนวนจิตแพทย์ในประเทศไทยยังขาดแคลน
“จิตแพทย์ประเทศไทย ยังมีจำนวนไม่เพียงพอ ปัจจุบันมีตัวเลขที่ยังทำงานอยู่คือ 800 คน ซึ่งแยกไปอยู่ฝั่งบริหารอาจจะไม่ได้รักษาคนไข้ไปแล้ว 200-300 คน ฉะนั้นเหลือจริงๆ ตัวเลขน้อยลง”
ส่วนการใช้ยามีการพัฒนาไปมาก โดยสามารถคิดค้นยาที่ดีมารักษาได้ดีขึ้น ตอบสนองเร็วขึ้นและมีผลข้างเคียงน้อยลง และมียารักษาซึมเศร้าหลายประเภทที่สามารถเลือกใช้ได้ตรงกับอาการผู้ป่วย เช่น ยารักษาย้ำคิดย้ำทำ แพนิค สมาธิสั้น ลดยาเสพติด อดบุหรี่ และในระหว่างการรักษาก็สามารถกลับไปทำงานได้
“ ผลข้างเคียงจากยาที่บอกว่าเป็นซอมบี้ไปทำงาน ไม่มีแล้วครับ บางครั้งเราจะพบว่าคนไข้โรคจิตบางคนขณะทำงานไปด้วย คนภายนอกไม่รู้เลยว่าเขาทานยารักษาอยู่ หากใช้ยาได้อย่างเหมาะสม”
โดยระยะเวลาการรักษาโดยสถิติ โรคซึมเศร้าจะรักษา 6 เดือน ร้อยละ 50 ไม่ต้องรักษาต่อ อีกร้อยละ 50 จะมีอาการหลงเหลือที่สามารถกลับมาเป็นอีกได้ จะแนะนำให้กลับมารักษาต่ออีก 1-2 ปี แต่ถ้าเมื่อไหร่ผู้ป่วยถึงขั้นฆ่าตัวตายและกลับมาเป็นซ้ำหลายครั้งจะเป็นกลุ่มที่เรียกว่าดื้อยา ซึ่งปัจจุบันก็จะมีกระบวนการรักษาโรคดื้อยาด้วย
สำหรับโรควิตกกังวล โดยทั่วไปเราสามารถให้ยารักษา 2-3 เดือนก็จะดีขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่ผู้ป่วยเช่นเดียวกัน แต่หากเป็นโรคที่มาด้วยความเครียด เช่น เครียดตกงาน เครียดจากสอบ บางทีจะไม่ต้องรับ แต่จะเข้าสู่กระบวนการจิตบำบัดแทน ซึ่งในบางกรณีจะใช้การพูดคุยสองถึงสามครั้ง ก็สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ ไม่ต้องรักษาต่อเนื่อง
สำหรับวิธีการสังเกตตัวเองว่าเมื่อไหร่ถึงจะต้องเข้ามาพบแพทย์นั้น ศ.นพ.รณชัยได้แนะนำไว้ 3 ข้อ ดังนี้
- เกิดความรู้สึกทนกับอาการตัวเองไม่ได้ เช่น บางคนเกิดอาการย้ำคิดย้ำทำ คอยล้างมือเป็นสิบๆ เที่ยว และต้องล้างด้วยน้ำสบู่ และนับด้วยว่าต้องล้างกี่ครั้ง จึงจะรู้สึกมั่นใจ หรือจับของสกปรกแล้วต้องมาล้าง การกระทำแบบนี้รู้สึกตัวเองว่าทนไม่ไหวแล้ว จนต้องมาพบแพทย์ ซึ่งกลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่รู้ตัว
- เมื่อไหร่ที่มีปัญหากระทบกับหน้าที่การงาน และความสัมพันธ์กับคนอื่น ไม่สามารถจดจ่อกับที่ทำงาน มีอารมณ์สองขั้วที่ไม่อยากไปทำงานเลย ซึ่งเรื่องนี้ตัวเองไม่รู้ตัว แต่คนรอบข้างสังเกตได้ ข้อนี้จะเจอมาก และเจ้าตัวไม่รู้ตัว ที่เราเรียกว่าเป็น Toxic Person ไปอยู่ที่ไหนคนไม่อยากอยู่ด้วย ก็สามารถมาขอความช่วยเหลือได้
- มีการทำร้ายตัวเอง ซึ่งเป็นกลุ่มที่เห็นชัดเจนที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคซึมเศร้า รวมไปถึงผู้ที่เริ่มทำร้ายผู้อื่น อย่างอาการที่เกิดหลังจากใช้สารเสพติดก็รวมอยู่ในนั้น
หากมีข้อใดข้อหนึ่งควรพบแพทย์ หรือสามารถสอบถามหน่วยบริการทางสุขภาพจิตหรือตามโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อขอคำแนะนำเบื้องต้น ว่าเราควรจะมาพบแพทย์หรือไม่
นอกจากนี้ในกรณีของการฆ่าตัวตาย ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทุกคนสามารถเฝ้าระวังคนรอบข้างได้ เพราะการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นการสูญเสียที่ส่งผลกระทบมหาศาล
สำหรับแนวทางการป้องกันในกรณีของการฆ่าตัวตาย มีดังนี้
- คนรอบข้างต้องคอยดูแลคนที่มีปัญหา โดยเฉพาะการสูญเสีย เมื่อไหร่ที่เจอบุคคลใกล้ชิดเจอปัญหาการสูญเสีย ตรงนั้นคือจุดตั้งต้นของการเศร้าเสียใจ และซึมเศร้า โดยเฉพาะการสูญเสียคนที่รัก เงินทอง หรืองาน บางคนทำใจไม่ได้ นี่คือจุดตั้งต้น คนรอบข้างต้องคอยรับรู้
- หลังจากรู้ว่ามีความเสี่ยง ต้องช่วยสังเกตอาการ อาการเด่นๆ ที่จะนำไปสู่อาการซึมเศร้าจนถึงขั้นทำร้ายตัวเอง คือ นั่งร้องไห้อยู่บ่อยๆ เศร้าเสียใจ สังเกตว่าแยกตัวไม่ยุ่งกับใคร การเคลื่อนไหวช้าลง พูดน้อยลง พูดบ่อยๆ ว่าตัวเองก่อให้เกิดปัญหาและผิดที่ทำให้เรื่องเกิดขึ้น สุดท้ายคือบ่นว่าอยากตาย ซึ่งสำคัญมาก โดยพบว่าคนที่ฆ่าตัวตายจริงๆ เคยพูดออกมาแต่คนรอบข้างคิดว่าล้อเล่นและไม่จริงจัง เลยไม่ได้สังเกต
- ถ้ามีประวัติฆ่าตัวตายมาก่อน ยิ่งต้องช่วยประคับประคองและให้กำลังใจ ทานยารักษา ไม่เช่นนั้นจะกลับไปวงจรเดิมและฆ่าตัวตายได้
“เรามองว่าการตั้งรับคนไข้ ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหา เช่น การรักษาคนติดยาเสพติดไม่ได้แก้ปัญหา เราไปรักษาคนไข้ฆ่าตัวตายไม่ได้แก้ปัญหา เราต้องแก้ไขปัญหาเชิงรุก เพราะฉะนั้นระบบของประเทศขณะนี้ก็จะมุ่งเน้นไปเรื่องการส่งเสริมป้องกันสุขภาพจิตในทุกภาคส่วนเช่นกัน” ศ.นพ.รณชัยกล่าว
เกี่ยวกับโรงพยาบาล BMHH
โรงพยาบาล BMHH เป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งเปิดบริการรักษาผู้ป่วยด้านสุขภาพจิตโดยเฉพาะ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้แก่ผู้ป่วย ด้วยความตั้งใจที่จะเปิดทางเลือกทางการรักษาและทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้มีความเฉพาะทางที่ตอบโจทย์ผู้ป่วยทางจิตเวชที่ชัดเจนขึ้น ด้วยการเชิญจิตแพทย์ที่มีความรู้เฉพาะด้านมาช่วยกันดูแลรักษาผู้ป่วย
นอกจากนี้ยังเน้นการผลิตผลงานด้านวิชาการของตนเอง การจัดให้ความรู้ การประชุมเชิงวิชาการเกี่ยวกับโรคทางจิตเวชแก่บุคลากรทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก จากผู้เชี่ยวชาญทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการพยายามผลักดันและเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยในประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านการรักษาโรคทางจิตเวช
ขอขอบคุณ
ศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ จิตแพทย์และผู้อำนวยการโรงพยาบาล BMHH