Climate Tech ใกล้ตัว พลิกเกมธุรกิจเมือง สร้างกำไรควบคู่ลดโลกร้อน

Climate Tech ใกล้ตัว จากต้นทุนสิ่งแวดล้อม สู่โอกาสทางธุรกิจของเมืองยุคใหม่

 

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา Climate Tech (เทคโนโลยีภูมิอากาศ) หรือ เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และโซลูชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของนักสิ่งแวดล้อมหรือสตาร์ทอัพเฉพาะทางอีกต่อไป แต่กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ” ที่ภาคธุรกิจ เมือง และนักลงทุนให้ความสำคัญอย่างจริงจัง โดยเฉพาะเมื่อกรอบ ESG (Environmental, Social, Governance) กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของการตัดสินใจลงทุน และแนวคิด Smart City รวมถึง Entertainment Complex ถูกออกแบบให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจในระยะยาว Climate Tech ที่ “ใกล้ตัว” และใช้งานได้จริงจึงมีบทบาทสูงกว่านวัตกรรมล้ำแต่ไกลตัว เพราะสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และผลตอบแทนทางธุรกิจไปพร้อมกัน

 

หนึ่งใน Climate Tech ที่สร้างผลกระทบเชิงธุรกิจชัดเจนที่สุดคือ พลังงานแสงอาทิตย์ร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน โดยเฉพาะในโครงการอสังหาริมทรัพย์ เมืองใหม่ และ Entertainment Complex ขนาดใหญ่ การลงทุนใน Solar Rooftop และแบตเตอรี่ไม่ได้เป็นเพียงการลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ แต่ยังช่วย “ล็อกต้นทุนพลังงาน” ในระยะยาว ท่ามกลางความผันผวนของค่าไฟและเชื้อเพลิงฟอสซิล สำหรับนักพัฒนาโครงการ สิ่งนี้สะท้อนมิติ E ของ ESG อย่างเป็นรูปธรรม ขณะเดียวกันก็เพิ่มความน่าสนใจของโครงการต่อผู้เช่า นักท่องเที่ยว และนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น

 

 

ในมิติของ Smart City อาคารและโครงสร้างพื้นฐานอัจฉริยะกลายเป็นหัวใจของการลดการปล่อยคาร์บอนในเมือง

 

เทคโนโลยีบริหารพลังงานในอาคาร ระบบปรับอากาศประสิทธิภาพสูง และ AI สำหรับควบคุมการใช้ไฟฟ้า สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีนัยสำคัญ ในเชิงธุรกิจ อาคารที่ใช้พลังงานต่ำไม่เพียงลดค่าใช้จ่ายระยะยาว แต่ยังเพิ่มมูลค่าทรัพย์สิน (asset value) และดึงดูดผู้ใช้งานคุณภาพสูง ซึ่งสอดคล้องกับทั้ง ESG และเป้าหมายการสร้างเมืองที่น่าอยู่ แข่งขันได้ในระดับโลก

 

ขณะเดียวกัน ระบบจัดการขยะอาหารและเศรษฐกิจหมุนเวียน กำลังกลายเป็น Climate Tech ที่มี impact ต่อสังคมสูง โดยเฉพาะในธุรกิจโรงแรม, ศูนย์ประชุม และแหล่งท่องเที่ยวขนาดใหญ่ ธุรกิจเหล่านี้สร้างขยะอาหารจำนวนมาก หากปล่อยให้เน่าเสียจะก่อให้เกิดก๊าซมีเทนซึ่งเป็นตัวเร่งโลกร้อนอย่างรุนแรง การลงทุนในระบบแยกขยะอัตโนมัติ การแปรรูปเป็นปุ๋ยหรือพลังงาน ไม่เพียงช่วยลดการปล่อยคาร์บอน แต่ยังสร้างโมเดลธุรกิจใหม่จากของเสีย พร้อมเสริมภาพลักษณ์ด้าน Social และ Environmental ขององค์กรอย่างชัดเจน

 

ในภาคการคมนาคม ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบชาร์จอัจฉริยะ กำลังเปลี่ยนบทบาทจาก “ต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อม” เป็น “ทรัพย์สินของระบบพลังงาน”

 

เมืองอัจฉริยะที่ออกแบบ EV Infrastructure ตั้งแต่ต้น ไม่เพียงตอบโจทย์นักท่องเที่ยวและผู้ใช้งานรุ่นใหม่ แต่ยังสามารถใช้ระบบชาร์จสองทาง (bi-directional charging) เป็นแหล่งพลังงานเสริมให้โครงการในช่วงพีค ช่วยเพิ่มเสถียรภาพและลดต้นทุนพลังงานในภาพรวม นี่คือ Climate Tech ที่เชื่อมโยง Environmental impact เข้ากับความคุ้มค่าทางการเงินอย่างเป็นรูปธรรม

 

อีกหนึ่งมิติที่ภาคธุรกิจเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้นคือ วัสดุก่อสร้างคาร์บอนต่ำ ตั้งแต่ Green Concrete ไปจนถึงวัสดุรีไซเคิลและวัสดุชีวภาพ การเลือกใช้วัสดุเหล่านี้ตั้งแต่ขั้นตอนการพัฒนาโครงการช่วยลดคาร์บอนฝังตัว (embedded carbon) ซึ่งกำลังกลายเป็นตัวชี้วัดใหม่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการเงินสีเขียว ในอนาคตโครงการที่ไม่สามารถพิสูจน์ที่มาของการปล่อยคาร์บอนตั้งแต่การก่อสร้างอาจเสียเปรียบในการเข้าถึงเงินทุนและนักลงทุนสถาบัน

 

เมื่อมองภาพรวม Climate Tech ใกล้ตัวเหล่านี้สะท้อนแนวโน้มสำคัญว่า "ความยั่งยืนไม่ใช่ต้นทุน แต่คือกลยุทธ์การแข่งขัน" เมืองและโครงการที่ผสาน ESG เข้ากับ Smart City และ Entertainment Complex อย่างเป็นระบบ จะไม่ได้แค่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ดึงดูดการลงทุน และสร้างความเชื่อมั่นในระยะยาว ท่ามกลางโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

ที่มา:

www.globenewswire.com

www.weforum.org