อินโนพาวเวอร์ผนึก depa-โพนิกซ์ นำร่อง Smart Energy ต้นแบบอาคารรัฐลดคาร์บอน
อินโนพาวเวอร์ร่วม depa และโพนิกซ์ พัฒนาโครงการพลังงานสะอาดแบบบูรณาการในสำนักงาน depa ผสาน Solar, BESS, EV และดิจิทัลแพลตฟอร์ม สู่เป้าหมาย Carbon Neutrality
KEY
POINTS
- อินโนพาวเวอร์, depa, และโพนิกซ์ ร่วมมือกันพัฒนาโครงการต้นแบบนวัตกรรมพลังงานอัจฉริยะ (Smart Energy) ที่สำนักงานใหญ่ depa เพื่อเป็นต้นแบบอาคารภาครัฐในการขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน
- โครงการนำร่องมีการติดตั้งเทคโนโลยีพลังงานสะอาดแบบครบวงจร ประกอบด้วยระบบ Solar PPA, ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS), สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) และแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงาน (EMS)
- คาดว่าโครงการจะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้ 10-15% ต่อปี ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 63.6 ตันคาร์บอนฯ ต่อปี และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้เพื่อขยายผลไปยังหน่วยงานอื่น
การขับเคลื่อนเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของประเทศไทย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนโยบายระดับชาติหรือโครงการขนาดใหญ่เพียงอย่างเดียว หากแต่ต้องอาศัย “พื้นที่ต้นแบบ” ที่สามารถแสดงให้เห็นว่าการบูรณาการเทคโนโลยีพลังงานสะอาดและดิจิทัลสามารถเกิดขึ้นได้จริงในระดับองค์กร โครงการนำร่องด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดแบบบูรณาการในพื้นที่สำนักงานของสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) จึงสะท้อนภาพของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างที่เริ่มต้นจากหน่วยงานรัฐซึ่งมีบทบาทกำหนดทิศทางเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ
ความร่วมมือระหว่าง อินโนพาวเวอร์ depa และบริษัท โพนิกซ์ จำกัด ไม่ได้เป็นเพียงการติดตั้งเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน แต่เป็นการทดลองโมเดลการจัดการพลังงานยุคใหม่ที่เชื่อมโยง “พลังงาน–ดิจิทัล–การบริหารจัดการข้อมูล” เข้าด้วยกันในพื้นที่ใช้งานจริง สำนักงาน depa ในฐานะพื้นที่นำร่องจึงทำหน้าที่เสมือน Living Lab ที่เปิดโอกาสให้เห็นทั้งศักยภาพ ข้อจำกัด และผลลัพธ์ของการนำระบบ Smart Energy มาใช้ในอาคารสำนักงานภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม
นายอธิป ตันติวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินโนพาวเวอร์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ บริษัท โพนิกซ์ จำกัด โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันศึกษา ส่งเสริม และพัฒนาโครงการต้นแบบนวัตกรรมด้านพลังงาน ในพื้นที่สำนักงาน depa เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนเป้าหมาย Carbon Neutrality ขององค์กร ควบคู่ไปกับการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ตลอดจนส่งเสริมการสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดและการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับประเทศ
ทั้งนี้ได้เริ่มโครงการนำร่องติดตั้งระบบ Solar PPA ขนาด 102.87 kWp (Kilowatt Peak) ร่วมกับ ระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charger) และ Energy Management Platform (EMS) ที่อาคารสำนักงานใหญ่ depa ถนนลาดพร้าว เขตจตุจักร กรุงเทพฯ คาดว่าโครงการต้นแบบนี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานของ depa ได้เฉลี่ย 10–15% ต่อปี และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณ 63.6 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ต่อปี ซึ่งจะทำให้อาคารสำนักงานใหญ่ depa เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ด้านพลังงานอัจฉริยะ
ในเชิงเศรษฐศาสตร์พลังงาน โมเดลนี้แสดงให้เห็นว่าองค์กรไม่จำเป็นต้องลงทุนสูงในระยะแรกเพื่อเข้าสู่พลังงานสะอาด แต่สามารถใช้กลไกอย่าง Solar PPA เพื่อลดภาระเงินลงทุน พร้อมทั้งสร้างผลตอบแทนในรูปของต้นทุนพลังงานที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง การประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานระดับ 10–15% ต่อปี อาจดูไม่หวือหวาในระยะสั้น แต่เมื่อพิจารณาในกรอบระยะยาว จะกลายเป็นต้นทุนที่องค์กรสามารถควบคุมได้ดีขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของราคาพลังงานในอนาคต
ขณะเดียวกัน ผลลัพธ์ด้านสิ่งแวดล้อมอย่างการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 60 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี มีความหมายมากกว่าแค่ตัวเลข เพราะสะท้อนบทบาทของหน่วยงานรัฐในการเป็น “ผู้ลงมือทำก่อน” (Lead by Example) แทนที่จะเป็นเพียงผู้กำหนดนโยบาย การทำให้อาคารสำนักงานของ depa กลายเป็นพื้นที่เรียนรู้ด้านพลังงานอัจฉริยะ ยังเปิดโอกาสให้บุคลากร สตาร์ทอัพ นักพัฒนาเทคโนโลยี และภาคเอกชน ได้เห็นการใช้งานจริง และต่อยอดไปสู่การประยุกต์ใช้ในบริบทอื่น ๆ
ในมุมของเศรษฐกิจดิจิทัล โครงการนี้ยังสะท้อนทิศทางสำคัญของการพัฒนา Smart City และ Smart Building ในประเทศไทย นั่นคือการใช้ข้อมูลและแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นแกนกลางของการจัดการทรัพยากร การมี EMS ทำให้องค์กรสามารถมองเห็นพฤติกรรมการใช้พลังงานอย่างละเอียด ตั้งแต่ช่วงเวลาที่ใช้ไฟสูงสุด ไปจนถึงโอกาสในการปรับปรุงประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนา AI, Analytics และระบบอัตโนมัติในอนาคต
ที่สำคัญ โครงการนำร่องนี้ไม่ได้ถูกออกแบบให้จบลงที่อาคารเดียว แต่ถูกวางบทบาทให้เป็นต้นแบบสำหรับการขยายผลไปยังสำนักงาน depa ในพื้นที่อื่นทั่วประเทศ รวมถึงโครงการ Thailand Digital Valley ซึ่งมีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของไทย หากสามารถนำโมเดลพลังงานสะอาดแบบบูรณาการไปปรับใช้ในหลายพื้นที่ จะช่วยสร้าง “ระบบนิเวศด้านความยั่งยืน” ที่เชื่อมโยงภาครัฐ เอกชน และสตาร์ทอัพเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ
ในภาพรวม โครงการนี้จึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเทคโนโลยีพลังงาน แต่เป็นตัวอย่างของการเปลี่ยนผ่านเชิงนโยบายและการปฏิบัติจริง ที่สะท้อนว่าเป้าหมาย Carbon Neutrality และการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีพื้นที่ทดลอง โมเดลธุรกิจที่เหมาะสม และความร่วมมือข้ามภาคส่วนอย่างจริงจัง ซึ่งสำนักงาน depa กำลังทำหน้าที่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของการเปลี่ยนผ่านนั้น


