ย้อนเวลา 100 ปี สู่ Smart City ยุคแรก เมื่อมหานครโลกฉลาดก่อนดิจิทัล
ก่อนโลกจะพูดถึง AI และดิจิทัล มหานครอย่างนิวยอร์ก ลอนดอน ปารีส เบอร์ลิน และโตเกียว เคยออกแบบเมืองอัจฉริยะด้วยรถไฟ ไฟฟ้า ผังเมือง และความเข้าใจมนุษย์
KEY
POINTS
- มหานครในอดีตมีความ "ฉลาด" จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่ล้ำสมัย เช่น ระบบรถไฟใต้ดิน, การวางผังเมือง, และระบบสุขาภิบาล ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญก่อนยุคดิจิทัล
- ความสำเร็จของเมืองเหล่านี้เกิดจาก "การคิดเชิงระบบ" และการวางแผนระยะยาว เพื่อจัดการความหนาแน่นและเพิ่มประสิทธิภาพของเมือง โดยไม่ต้องพึ่งพาข้อมูลหรือ AI
- เมืองยุคแรกให้ความสำคัญกับ "คุณภาพชีวิต" และการออกแบบที่คำนึงถึงมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เช่น การสร้างพื้นที่สาธารณะ, ที่อยู่อาศัยเพื่อสังคม, และการยกระดับสาธารณสุข
ถ้าย้อนเวลากลับไปเมื่อราว 100 ปีก่อน (ช่วงทศวรรษ 1920s) คำว่า Smart City ยังไม่ถือกำเนิด แต่บางเมืองในโลกนั้น “ฉลาด” แบบก้าวล้ำเกินยุคไปไกลมาก ฉลาดในความหมายของ โครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยี การวางผังเมือง และคุณภาพชีวิต ลองนึกภาพโลกที่รถยนต์ยังใหม่ ไฟฟ้ายังไม่ทั่วถึง แต่เมืองเหล่านี้กลับคิดไกลกว่าคนร่วมสมัยเดียวกันอย่างไม่น่าเชื่อ...
ลอนดอน (London)
มหานครที่เปรียบเสมือน “สมองของจักรวรรดิ” ในยุคนั้น รถไฟใต้ดินลอนดอนเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1863 และในช่วงปี 1920s ระบบรถไฟฟ้าใต้ดินก็ขยายครอบคลุมเมืองใหญ่ มีการใช้สัญญาณไฟฟ้า ระบบตั๋ว และการจัดการเวลาอย่างแม่นยำ เมืองยังลงทุนในระบบระบายน้ำขนาดยักษ์เพื่อลดโรคระบาด ซึ่งถือเป็นแนวคิด urban health ที่ล้ำมากในยุคที่หลายเมืองยังไม่เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างสุขาภิบาลกับคุณภาพชีวิต นี่คือ Smart City เวอร์ชัน “สุขภาพ-คมนาคม-การบริหาร” อย่างแท้จริง
กลับไปในยุค 1920 เมืองหลวงของอังกฤษยังมีเสน่ห์แบบยุโรป แต่กำลังก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางโลกสมัยใหม่ แม้ถนนบางสายในใจกลางจะยังคงหลงเหลือร่องรอยของยุคโค้งแคบ แต่ระบบรถไฟใต้ดิน (Underground) ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 1863 แล้วกำลังถูกขยายต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของเมืองและชานเมือง
ลอนดอนมี Underground ซึ่งเรียกว่า Tube ระบบรางใต้ดินที่เริ่มใช้ถ่านหินและค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นระบบไฟฟ้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ทำให้ผู้คนสามารถเดินทางได้เร็วขึ้นและปลอดภัยกว่าเดิมมาก
แม้จะยังมีม้าลากและรถม้าคลอเสียงบนถนนใหญ่ แต่เวลาก้าวลงบันไดเข้าสู่สถานีรถไฟใต้ดิน คุณจะพบ “วิถีใหม่” ที่เชื่อมเมืองทั้งกว้างใหญ่ตั้งแต่ชานเมืองถึงใจกลางเมือง เป็นฉากหนึ่งที่หากใครย้อนกลับไปเห็นรูปถ่ายของลอนดอนยุคนั้น จะพบความต่างอย่างชัดเจนระหว่างด้านบนกับด้านล่างของเมือง
ปารีส (Paris)
หลังการปฏิรูปเมืองโดยบารง โอสมาน (Haussmann) ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ได้กลายเป็นเมืองต้นแบบของการวางผังสมัยใหม่ ถนนกว้าง ระบบน้ำสะอาด ไฟถนน และอาคารที่มีรูปแบบเป็นระเบียบ พอเข้าสู่ยุค 1920s ปารีสคือเมืองที่ผสานเทคโนโลยีกับสุนทรียภาพได้อย่างลงตัว รถราง ไฟฟ้า การจัดการขยะ และพื้นที่สาธารณะถูกออกแบบให้เมือง “ไหลลื่น” ทั้งในเชิงกายภาพและชีวิตผู้คน ถ้ามองด้วยสายตาปัจจุบัน ปารีสยุคนั้นคือ Smart City ที่เข้าใจคำว่า human-centric ก่อนใคร
"มหานครแสงสีแห่งศิลปะ"
ปารีสในปี 1920 ไม่ได้โดดเด่นเพียงระบบสาธารณูปโภคแบบดิจิทัลเหมือนนิวยอร์ก แต่เป็น มหานครแห่งวัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ แฟชั่นและศิลปะ นี่คือยุคของ Les années folles หรือ “ปีที่บ้าคลั่ง” ซึ่งเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เพลง แจ๊ส ศิลปะ และนักคิดจากทั่วโลกมารวมกันที่นี่
หลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ปารีสต้องทำการฟื้นฟูทั้งเศรษฐกิจและสังคม ผู้คนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตกันอย่างมีสไตล์และความคิดสร้างสรรค์ เช่น คาเฟ่ที่เต็มไปด้วยนักเขียนจากต่างแดน เช่น Hemingway และ Picasso ที่แสดงถึงการต้อนรับแนวคิดใหม่ ๆ เข้าสู่เมืองนี้
ปารีสยังคงเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นระดับโลกและศิลปะโมเดิร์น แนว Art Deco ที่กำลังรุ่งเรืองและผลงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เริ่มปรากฏทั่วเมือง ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้กลายเป็นภาพจำของยุคสมัยใหม่ในยุโรป
นิวยอร์ก (New York City)
คือสัญลักษณ์ของอนาคตในจินตนาการของคนทั้งโลก ตึกระฟ้าอย่าง Chrysler Building และ Empire State (เริ่มสร้างปลายทศวรรษ 1920s) แสดงถึงพลังของวิศวกรรม ระบบไฟฟ้า ลิฟต์ความเร็วสูง โทรศัพท์ และเครือข่ายรถไฟใต้ดินที่ซับซ้อนทำให้มหานครแห่งนี้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง นิวยอร์กคือ Smart City แบบ “data-less” แต่มี system thinking ครบถ้วน เป็นเมืองที่ไม่เคยหลับ เพราะโครงสร้างพื้นฐานถูกออกแบบมาให้รองรับความหนาแน่นสูงอย่างมีประสิทธิภาพ
ลองจินตนาการว่าคุณอยู่ในนิวยอร์กปี 1920 เมืองที่ “ไม่เคยหลับ” จริง ๆ ลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 เมืองนี้กำลังเข้าสู่ยุครุ่งเรืองของเศรษฐกิจที่เรียกว่า Roaring Twenties ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาเพื่อโอกาสและความฝันใหม่ ๆ ทั่วทั้งเกาะแมนฮัตตันมีเสียงรถราง คลื่นเสียงรถยนต์ และฝีเท้าผู้คนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
ตึกระฟ้าเปลี่ยนเส้นขอบฟ้า ส่ง"นิวยอร์ก" เมืองหลวงวัฒนธรรมโลก
ตึกสูงอย่าง Woolworth Building ที่เสร็จตั้งแต่ปี 1913 กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงของเมือง สถานี Grand Central Terminal ที่สร้างเสร็จในปี 1913 เช่นกันทำให้เมืองดูเหมือนระบบหัวใจและเส้นเลือดของมหานคร มีรถไฟจอดแทบตลอดเวลา และถนนเส้นใหม่อย่าง Park Avenue ก็ถูกพัฒนาอยู่เหนือทางรถไฟ เพื่อเอื้อให้คนเดินทางทำงานได้ง่ายกว่าที่เคย
แบรนด์แฟชั่น การลงทุน การเงิน วัฒนธรรมดนตรี แจ๊ส โรงหนัง และสัมผัสของการใช้ชีวิตแบบ “มหานครใหญ่” ทำให้ที่นี่กลายเป็นต้นแบบเมืองที่ทันสมัยจริง ๆ ในยุคนั้น
โตเกียว (Tokyo)
แม้จะเผชิญแผ่นดินไหวใหญ่ในปี 1923 แต่การฟื้นฟูเมืองกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็น “เมืองอัจฉริยะ” แบบญี่ปุ่น มีการนำผังเมืองสมัยใหม่ ระบบถนนกว้าง ระบบไฟฟ้า และรถไฟเข้ามาใช้ โตเกียวเริ่มพัฒนาเครือข่ายรถไฟเอกชนที่เชื่อมชานเมืองกับศูนย์กลาง ซึ่งเป็นรากฐานของระบบขนส่งที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดแห่งหนึ่งของโลกในเวลาต่อมา นี่คือ Smart City ที่เรียนรู้จากภัยพิบัติและออกแบบใหม่ให้ดีกว่าเดิม
“การฟื้นฟูเมืองหลวงหลังแผ่นดินไหว 1923”
โตเกียวในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 คือ เมืองที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากเมืองเก่าแบบเอโดะ สู่มหานครทันสมัยของญี่ปุ่น และ จุดเปลี่ยนสำคัญคงหนีไม่พ้นแผ่นดินไหวคันโตปี 1923 ซึ่งทำลายเมืองเกือบทั้งหมดลงไปในคราวเดียว
หลังเหตุการณ์รุนแรงนี้ วิศวกรและผู้นำเมืองตัดสินใจสร้างใหม่พร้อมกับใช้ เทคโนโลยีโครงสร้างคอนกรีตและเหล็ก แทนอาคารไม้แบบเดิม ถนนกว้างขึ้น ระบบไฟฟ้า น้ำประปา และการวางผังเมืองใหม่เริ่มกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของโตเกียว
ในย่าน Ginza โตเกียวเห็นความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน ร้านค้า คาเฟ่ และรูปแบบแฟชั่นตะวันตกเริ่มปรากฏขึ้นควบคู่กับชีวิตเมืองแบบดั้งเดิม นี่คือยุคของ “mobo” (modern boys) และ “moga” (modern girls) ที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่าง สไตล์ญี่ปุ่นกับสากล ซึ่งเป็นหนึ่งในรูปแบบปรากฏการณ์ของเมืองสมัยใหม่
เบอร์ลิน (Berlin)
ที่นี่คือหนึ่งในเมืองที่ถ้าเล่าย้อนเวลาแล้ว สนุกและเข้มข้นมาก เพราะมันคือ Smart City เวอร์ชัน “ห้องทดลองของโลกสมัยใหม่” อย่างแท้จริงในยุค 1920s
เบอร์ลิน (Berlin) ในยุคสาธารณรัฐไวมาร์ คือห้องทดลองของเมืองสมัยใหม่ เยอรมนีเป็นผู้นำด้านวิศวกรรมและอุตสาหกรรม เบอร์ลินมีระบบขนส่งสาธารณะครบถ้วนทั้ง U-Bahn, S-Bahn ที่เชื่อมชานเมืองเข้ากับศูนย์กลางอย่างมีประสิทธิภาพ เมืองยังทดลองโครงการที่อยู่อาศัยแบบใหม่ (social housing) ที่คำนึงถึงแสง อากาศ และพื้นที่สีเขียว แนวคิดนี้สะท้อนสิ่งที่วันนี้เราเรียกว่า smart + inclusive city อย่างชัดเจน
เบอร์ลินในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งไม่ได้ดูหรูหราแบบปารีส หรือฟุ้งฝันแบบนิวยอร์ก แต่กลับเต็มไปด้วยพลังบางอย่างที่คุกรุ่นอยู่ใต้ผิวเมือง เมืองนี้กำลังอยู่ในยุค สาธารณรัฐไวมาร์ (Weimar Republic) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เยอรมนีทดลองทุกอย่างพร้อมกัน—การเมืองใหม่ เศรษฐกิจใหม่ ศิลปะใหม่ และที่สำคัญคือ “เมืองแบบใหม่”
เบอร์ลินกลายเป็นมหานครที่โตเร็วมาก ประชากรทะลุ 4 ล้านคน ระบบขนส่งอย่าง U-Bahn และ S-Bahn เชื่อมใจกลางเมืองกับชานเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ ชาวเบอร์ลินสามารถอาศัยอยู่ไกลออกไปแต่ยังเดินทางมาทำงานได้ตรงเวลา นี่คือแนวคิด urban mobility ที่ล้ำหน้ามากในยุคนั้น
ถ้าเดินเข้าไปในย่านที่อยู่อาศัยใหม่ของเบอร์ลิน เช่น โครงการบ้านสังคม (Social Housing) คุณจะเห็นสิ่งที่วันนี้เราเรียกว่า Smart + Inclusive City อาคารถูกออกแบบให้รับแสงธรรมชาติ มีอากาศถ่ายเท มีพื้นที่สีเขียว ลานเด็กเล่น และสุขาภิบาลที่ดี ไม่ใช่แค่สร้างบ้านให้คนอยู่ แต่สร้าง “คุณภาพชีวิต” ให้คนทำงานชนชั้นกลางและแรงงาน เมืองนี้เริ่มเข้าใจแล้วว่า เมืองที่ฉลาดไม่ใช่เมืองที่ใหญ่ที่สุด แต่คือเมืองที่ดูแลคนส่วนใหญ่ได้ดีที่สุด
กลางคืนของเบอร์ลินยุค 1920s คืออีกโลกหนึ่งโดยสิ้นเชิง แสงไฟฟ้า โรงละคร คาบาเรต์ ดนตรีแจ๊ส ภาพยนตร์ และศิลปะแนวทดลองหลั่งไหลออกมาจากทุกมุมเมือง ที่นี่คือศูนย์กลางของ ศิลปะ Bauhaus และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ซึ่งมองอาคารเป็น “เครื่องจักรเพื่อการอยู่อาศัย” (machine for living) ความคิดแบบนี้สะท้อนวิธีคิดเชิงระบบ เหมือนที่ Smart City ยุคปัจจุบันมองเมืองเป็น platform ไม่ใช่แค่สถานที่
เบอร์ลินจึงไม่ใช่ Smart City ที่หวือหวา แต่เป็นเมืองที่ คิดลึก คิดเป็นระบบ และกล้าทดลอง เมืองนี้พิสูจน์ว่า แม้จะอยู่ในภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่เปราะบาง แต่การลงทุนในขนส่ง ที่อยู่อาศัย และคุณภาพชีวิต คือรากฐานของเมืองอัจฉริยะที่แท้จริง และน่าเศร้าที่บทเรียนจากเบอร์ลินยุคนั้นถูกขัดจังหวะด้วยประวัติศาสตร์การเมืองในเวลาต่อมา—แต่แนวคิดหลายอย่างยังถูกใช้เป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองทั่วโลกจนถึงวันนี้
บทสรุปของ Smart City เมื่อ 100 ปีที่แล้ว
ถ้ามองย้อนกลับไป เมืองเหล่านี้ไม่ได้ “ฉลาด” เพราะมี AI หรือ IoT แต่ฉลาดเพราะ คิดเป็นระบบ มองไกล เข้าใจมนุษย์ และลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานระยะยาว ซึ่งน่าสนใจมากว่า หลายแนวคิดของ Smart City วันนี้เรื่องขนส่งมวลชน สุขาภิบาล เมืองเดินได้ เมืองน่าอยู่—แท้จริงแล้วถูกคิดไว้แล้วเมื่อร้อยปีก่อน เพียงแต่เราเพิ่งมีเทคโนโลยีมาช่วยขยายศักยภาพของมันให้ชัดขึ้นเท่านั้น


