ทั่วโลกทุ่มงบลงทุนให้ Data Center แซงหน้าธุรกิจน้ำมันครั้งแรก
ปิดฉากยุคทองน้ำมัน? IEA เผยทั่วโลกทุ่มงบลงทุน ‘Data Center’ แซงหน้าธุรกิจขุดเจาะแล้ว เหตุ AI บูมจัด ดันยอดใช้ไฟพุ่งทะลุเพดาน
หากใครยังสงสัยว่าเศรษฐกิจโลกกำลังหมุนไปทางไหน รายงานฉบับล่าสุดจาก องค์การพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด
เพราะปีนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งประวัติศาสตร์ เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกไหลไปกองอยู่ที่การสร้าง "ศูนย์ข้อมูล" (Data Center) สูงถึง 5.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (เกือบ 20 ล้านล้านบาท)
ซึ่งตัวเลขนี้แซงหน้าเม็ดเงินลงทุนการสำรวจและขุดเจาะน้ำมันใหม่ไปเรียบร้อยแล้วกว่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์
IEA ชี้ว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวคือสัญญาณชี้ว่าเศรษฐกิจโลกกำลัง "ผลัดใบ" จากยุคอุตสาหกรรมเดิมเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มรูปแบบ
เบื้องหลังเม็ดเงินมหาศาลนี้ คือความร้อนแรงของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่กำลังหิวกระหายพลังงาน
โดยคาดกันว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ เฉพาะ Data Center สำหรับรัน AI จะกินไฟเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่า ส่งผลให้ยอดการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูลทั่วโลกพุ่งขึ้นเป็นสองเท่าจากปัจจุบัน
โดยกว่าครึ่งหนึ่งของการเติบโตนี้จะไปกระจุกตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา ตามมาด้วยยุโรปและจีน
เทรนด์การก่อสร้าง Data Center ยุคใหม่มักเล็งพื้นที่เมืองใหญ่ที่มีประชากรเกินล้านคน โดยเน้นสเกลยักษ์ระดับ 200 เมกะวัตต์ขึ้นไปและมักตั้งเกาะกลุ่มกัน
ซึ่งการกระจุกตัวแบบนี้กำลังก่อปัญหาใหญ่ตามมา นั่นคือ "คอขวดระบบสายส่ง"
IEA เตือนว่า โครงข่ายไฟฟ้าในหลายพื้นที่เริ่มรับมือไม่ไหว คิวขอต่อไฟยาวเหยียดจนน่าตกใจ
ตัวอย่างที่โหดหินที่สุดคือ รัฐเวอร์จิเนียตอนเหนือ แหล่งรวม Data Center ระดับโลก ที่คิวรอไฟอาจลากยาวถึง 10 ปี!
หรืออย่างเมือง ดับลิน ในยุโรป ถึงขั้นต้องเบรกคำขอใหม่ยาวไปจนถึงปี 2028
ซ้ำร้าย ห่วงโซ่อุปทานอุปกรณ์ไฟฟ้าก็กำลังขาดแคลนหนัก ไม่ว่าจะเป็นสายเคเบิล แร่สำคัญ หรือหม้อแปลงไฟฟ้า ล้วนเป็นตัวฉุดรั้งให้การอัปเกรดระบบล่าช้าออกไปอีก
แม้จะมีบริษัทหน้าใหม่อย่าง Amperesand และ Heron Power พยายามงัดเทคโนโลยี "หม้อแปลงโซลิดสเตต" มาแก้เกม
เพื่อช่วยให้ระบบไฟฟ้าเสถียรและจัดการพลังงานหมุนเวียนได้ดีขึ้น แต่ของจริงกว่าจะได้ใช้ก็ต้องรออีก 1-2 ปี กว่าจะผลิตทันความต้องการ
ท้ายที่สุด IEA ฟันธงว่า "พลังงานหมุนเวียน" โดยเฉพาะโซลาร์เซลล์ที่มีต้นทุนถูกลง จะกลายเป็นกระดูกสันหลังของวงการ Data Center ภายในปี 2035
โดยประเมินว่าจะจ่ายไฟเข้าระบบได้ถึง 400 เทระวัตต์-ชั่วโมง (TWh) ทิ้งห่างก๊าซธรรมชาติที่คาดว่าจะอยู่ที่ 220 TWh
ขณะที่เทคโนโลยีใหม่อย่างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) หากทำได้จริงตามคำกล่าวอ้างก็อาจเข้ามาช่วยเสริมทัพได้อีกราว 190 TWh


