posttoday

เปิดศักยภาพ “แร่หายาก” ไทย ขุมทรัพย์ใหม่ใต้ผืนดิน โอกาสกับความเป็นจริง?

28 ตุลาคม 2568

ศักยภาพแร่หายากของไทยกำลังถูกจับตาทั่วโลก จากความร่วมมือระหว่างไทย- สหรัฐฯ สู่ศึกชิงทรัพยากรยุทธศาสตร์แห่งอนาคต ที่เต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความท้าทาย

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยมีศักยภาพเป็นแหล่งแร่หายาก (REEs) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมีการค้นพบในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะในแหล่งที่เชื่อมโยงกับเหมืองแร่ดีบุกเก่า
  • ศักยภาพดังกล่าวได้ดึงดูดความร่วมมือจากนานาชาติ โดยไทยได้ลงนาม MOU กับสหรัฐอเมริกาเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อุปทาน และร่วมมือกับญี่ปุ่นในการสำรวจและประเมินแหล่งแร่เชิงลึก รวมถึงการศึกษาศักยภาพจากหางแร่ดีบุก
  • แม้จะมีโอกาสสูง แต่ความเป็นจริงคือการพัฒนายังอยู่ในขั้นเริ่มต้น โดยข้อตกลงกับสหรัฐฯ ยังไม่มีผลผูกพัน และยังขาดข้อมูลสาธารณะที่ยืนยันปริมาณและความคุ้มค่าเชิงพาณิชย์ของแร่หายากที่พบอย่างเป็นรูปธรรม

ลองจินตนาการดูว่า ทุกครั้งที่คุณหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา เปิดแอร์ สตาร์ทรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่ฟังเพลงผ่านหูฟังไร้สาย คุณกำลังใช้ “แร่ธาตุหายาก” อยู่โดยไม่รู้ตัว ธาตุเหล่านี้ไม่ใช่ทองคำ เงิน หรือเพชร แต่คือ “Rare Earth Elements (REEs)” กลุ่มโลหะ 17 ชนิดที่เป็นหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ทุกอย่างตั้งแต่จอภาพ แม่เหล็กถาวร ชิปอิเล็กทรอนิกส์ สมาร์ทโฟน ยุทโธปกรณ์ต่างๆ ไปจนถึงกังหันลมผลิตไฟฟ้า และระบบขับเคลื่อนของยานยนต์ไฟฟ้า (EV)

 

และสิ่งที่น้อยคนนักจะรู้คือ... ประเทศไทยเองก็มี “แหล่งแร่ธาตุหายาก” อยู่ใต้ผืนดิน

 

เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2568 (2025) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 47 หรือ ASEAN Summit 2025  รัฐบาลไทยได้ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาความหลากหลายของห่วงโซ่อุปทานของแร่ธาตุสำคัญ หรือ แรร์เอิร์ธ  (Rare Earth Elements: REEs) กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเปิดประตูสู่ความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่มีมูลค่ามหาศาลทั่วโลก บันทึกความเข้าใจฉบับนี้มีชื่อว่า “Cooperation to Diversify Global Critical Minerals Supply Chains and Promote Investments” ลงนามโดยกระทรวงอุตสาหกรรมของไทยร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ

 

สาระสำคัญของ MOU มุ่งเน้นการสร้างห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุหายากที่ “ปลอดภัย โปร่งใส และยั่งยืน” โดยเน้นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางเทคโนโลยี การสำรวจทรัพยากรใต้ดิน การถ่ายทอดเทคโนโลยีการแปรรูปแร่ รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยไม่เพียงเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบ แต่สามารถก้าวสู่การเพิ่มมูลค่าและพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องได้เองในอนาคต ข้อตกลงนี้ยังเปิดทางให้เกิดการลงทุนร่วมระหว่างบริษัทไทยและสหรัฐฯ ในด้านการรีไซเคิลแร่หายาก การวิจัยธรณีเคมี และการสร้างมาตรฐานสิ่งแวดล้อมระดับสากลในกระบวนการผลิต

 

แม้ MOU ดังกล่าวจะไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ถือเป็น “กรอบความร่วมมือเชิงกลยุทธ์” ที่สหรัฐฯ ให้ความสนใจต่อศักยภาพของประเทศไทยอย่างจริงจัง หลังจากก่อนหน้านี้ กรมทรัพยากรธรณีของไทย (DMR) ได้ร่วมมือกับสถาบันธรณีวิทยาแห่งญี่ปุ่น (GSJ) ในโครงการ “Joint Research on Rare Earth Elements Potential in Thailand” เริ่มต้นประมาณปี 2563 (2020) เพื่อสำรวจและประเมินแหล่งแร่หายากในหลายพื้นที่ เช่น จังหวัดพังงา พัทลุง และนครศรีธรรมราช ซึ่งผลการสำรวจเบื้องต้นพบว่า มีศักยภาพของธาตุในกลุ่มแลนทาไนด์อยู่ในระดับน่าสนใจ

 

และจากข้อมูลล่าสุดจาก กรมทรัพยากรธรณี (DMR) และ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา (USGS) เผยว่า ไทยมีแหล่งแร่หายากอยู่ในหลายภูมิภาค ตั้งแต่เหนือจรดใต้

  • ภาคเหนือ – พบในหินแกรนิตที่เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และเชียงราย
  • ภาคตะวันตก – บริเวณกาญจนบุรีและอุทัยธานี ซึ่งเคยเป็นแหล่งดีบุกเก่า
  • ภาคใต้ – ตะกอนชายหาดและหางแร่ดีบุกในระนอง พังงา สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร

 

แหล่งเหล่านี้มี “โมนาไซต์ (Monazite)” และ “เซโนไทม์ (Xenotime)” ซึ่งเป็นแร่หลักที่เก็บธาตุหายากอย่างนีโอไดเมียม (Neodymium) และดิสโพรเซียม (Dysprosium) วัตถุดิบสำคัญในการทำแม่เหล็กถาวรของมอเตอร์รถ EV

 

พูดง่าย ๆ คือ… ดินไทยไม่ได้มีแค่ทองคำหรือดีบุก แต่มี “หัวใจของเทคโนโลยีโลกอนาคต” ฝังอยู่ด้วย

 

ลักษณะธรณีวิทยา แหล่งกำเนิดและชนิดแร่ที่พบ

ข้อมูลสรุปจากการสำรวจและงานวิชาการระบุว่า REEs ในไทยมักเชื่อมโยงกับระบบหินแกรนิต (granitoid-related) แร่หนักชายหาด (heavy mineral sands) และแหล่งแปรสภาพ/ไฮโดรเทอร์มอลที่เกี่ยวข้องกับดีบุก (tin-related systems) แร่ชนิดที่พบในหลายพื้นที่ประกอบด้วย monazite, xenotime, zircon และแร่ไทเทเนต/ไททาไนต์บางประเภท ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่ามีทั้ง LREEs และ HREEs ในระดับต่าง ๆ ขึ้นกับชั้นหินและกระบวนการทางธรณีเคมีที่เกิดขึ้นในอดีตของแต่ละพื้นที่

 

ญี่ปุ่นมาเอง! เมื่อโลกหันมามองทรัพยากรไทย

สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ขาดแร่หายากอย่างหนักหลังจากต้องพึ่งจีนมานาน ได้หันมาร่วมมือกับไทยผ่านโครงการ “Joint Research on Rare Earth Elements Potential in Thailand”

 

โดยเป็นความร่วมมือระหว่าง กรมทรัพยากรธรณี (DMR) กับ Geological Survey of Japan (GSJ) ภายใต้ AIST เพื่อทำการสำรวจแหล่งแร่หายากเชิงลึกในประเทศไทยโครงการนี้ไม่ได้มองแค่ “ขุด” แต่ยังมุ่งทำงานหลายด้าน เช่น 

  • การวิเคราะห์หินและตะกอนด้วยเทคนิคขั้นสูง เช่น LA-ICP-MS
  • การสร้างฐานข้อมูลทางธรณีวิทยาใหม่
  • การประเมินว่า tailings (หางแร่) จากเหมืองดีบุก (เช่น ในจังหวัดระนอง/พังงา/ภูเก็ต) มีศักยภาพทางเศรษฐศาสตร์ในการเป็นแหล่ง REE-concentrates หรือไม่
  • การฝึกบุคลากรไทยให้รู้จักการแยกแร่หายากอย่างปลอดภัยและยั่งยืน

กล่าวได้ว่า นี่คือการ “เปิดแผนที่ใหม่” ของทรัพยากรไทย ที่ต่างชาติเองยังให้ความสนใจ

 

จากหางแร่ดีบุก... สู่ทองคำแห่งยุคดิจิทัล?

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้คือ หลายพื้นที่ในภาคใต้ของไทย มี “กองหางแร่ดีบุก” จากเหมืองเก่ามานับสิบปี ซึ่งครั้งหนึ่งถูกมองว่า “ไร้ค่า”

 

แต่ในมุมของนักธรณีวิทยายุคใหม่ หางแร่นี้อาจซ่อน “ธาตุหายาก” ที่มีมูลค่ามหาศาลไว้ ซึ่งจากการวิจัยร่วม DMR–GSJ พบว่า หางแร่ดีบุกในระนองและพังงา มีร่องรอยของธาตุเช่น แลนทานัม (La), ซีเรียม (Ce) และ นีโอไดเมียม (Nd) ที่สามารถนำมาสกัดใหม่ได้ หากมีเทคโนโลยีเหมาะสม

 

เรียกได้ว่า “ขยะเก่า” ของเหมืองดีบุก อาจกลายเป็น “ขุมทองใหม่” แห่งยุคเทคโนโลยีสะอาด

 

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบแหล่งข้อมูลเพิ่มเติมพบว่า แม้จะมีเอกสารของ กรมทรัพยากรธรณี (DMR) ที่กล่าวถึงการ “ประเมินทรัพยากรแร่หายาก (RE resource) จากสินแร่และหางแร่ ดีบุกในพื้นที่จังหวัดระนอง จังหวัดพังงา จังหวัดภูเก็ต” ในเอกสารชื่อ “รายงานวิชาการ: การพัฒนาแนวทางการบริหารจัดการ…” ซึ่งระบุว่า ได้ดำเนินการภายใต้ความร่วมมือกับ Geological Survey of Japan (GSJ) และมีแผนวิเคราะห์ตัวอย่างด้วยเครื่องมือ LA-ICPMS ในช่วงปี 2563 – 2568 พบว่า รายงานดังกล่าว ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลตัวเลขอย่างชัดเจน ว่าพบ “แลนทานัม (La), ซีเรียม (Ce) และนีโอไดเมียม (Nd)” ในหางแร่ดีบุกของระนองและพังงาในระดับที่พร้อมพัฒนา (เช่น % หรือ ppm) โดยสาธารณะ

 

ดังนั้น ข้อกล่าวอ้างที่ว่า “หางแร่ดีบุกในระนองและพังงา พบแร่ La, Ce, Nd ที่สามารถนำมาสกัดใหม่ได้” แม้จะมีหลักฐานว่าอยู่ในแผนศึกษาและมีการเตรียมการสำรวจจริง แต่ยังไม่มีแหล่งอ้างอิงเปิดเผยสาธารณะที่ยืนยันตัวเลขเฉพาะพื้นที่นั้นๆ โดยตรง ซึ่งหมายความว่า ข้อกล่าวอ้างนั้นอาจเป็น "การตีความ" หรือสรุปจากแหล่งข้อมูลเบื้องต้น มากกว่าข้อสรุปวิจัยที่เผยแพร่แล้ว

 

 

อ้างอิง:

Report on Geological and Mineral Resources Situation 2021

Joint Research On Rare Earth Elements Potential In Thailand Under DMR-GSJ Technical Cooperation

กรมทรัพยากรธรณี

The Mineral Industry of Thailand in 2020-2021 / USGS United States Geological Survey

 

 

ข่าวล่าสุด

LH Bank ออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพผู้ป่วยนอก “LHB OPD SAVER”