ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก พุ่ง 2.1 ล้านคันในเดือนกันยายน

ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเต็มรูปแบบและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 2.1 ล้านคัน จากแรงขับเคลื่อนของความต้องการที่แข็งแกร่งในประเทศจีน และแรงซื้อเร่งด่วนในสหรัฐอเมริกาก่อนที่เครดิตภาษีจะหมดอายุ บริษัทวิจัยตลาด Rho Motion เปิดเผยเมื่อวันพุธ

 

ประเทศจีนมียอดขายประมาณ 1.3 ล้านคัน ขณะที่ทวีปอเมริกาเหนือก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน จากการที่ผู้บริโภคชาวอเมริกันเร่งซื้อเพื่อใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีก่อนหมดอายุ ข้อมูลจากนายชาร์ลส์ เลสเตอร์ ผู้จัดการฝ่ายข้อมูลของ Rho Motion ระบุ

 

จีนซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ซึ่งในนิยามของ Rho Motion ครอบคลุมทั้งรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่ (Battery Electric Vehicles) และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrids)

 

เดือนกันยายน ซึ่งโดยปกติเป็นช่วงที่ตลาดรถยนต์ในจีนคึกคักที่สุดของปี มียอดขายเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคต้องการใช้ประโยชน์จากนโยบายเงินสนับสนุนในการเปลี่ยนรถใหม่ก่อนที่บางภูมิภาคจะเริ่มยุติโครงการดังกล่าว

 

สำหรับความต้องการในสหรัฐอเมริกา พบว่ามีการพุ่งสูงขึ้น จากการที่ผู้บริโภคเร่งซื้อรถยนต์เพื่อรับเครดิตภาษีรถยนต์ไฟฟ้ามูลค่า 7,500 ดอลลาร์สหรัฐฯ ก่อนหมดสิทธิ แม้ว่าในไตรมาสสุดท้ายของปี ความต้องการคาดว่าจะลดลงอย่างมาก “เนื่องจากทั้งผู้บริโภคและภาคธุรกิจจะไม่สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีของรัฐบาลกลางซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้อีกต่อไป” Rho Motion ระบุ

 

ทวีปยุโรปก็ทำสถิติใหม่เช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากมาตรการจูงใจในประเทศเยอรมนี และความต้องการที่แข็งแกร่งในสหราชอาณาจักร ขณะที่การเปิดตัวรถยนต์ Tesla รุ่น Model Y ราคาประหยัดมากขึ้นในยุโรป คาดว่าจะส่งผลให้การแข่งขันรุนแรงยิ่งขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ยอดขายรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบตเตอรี่และรถปลั๊กอินไฮบริดทั่วโลกในเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 26% เป็นสถิติใหม่ที่ 2.1 ล้านคัน ตามข้อมูลของ Rho Motion

 

-ยอดขายในจีนเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.3 ล้านคัน

 

-ยอดขายในยุโรปพุ่งขึ้น 36% อยู่ที่ 427,541 คัน

 

-ยอดขายในอเมริกาเหนือเพิ่มขึ้น 66% อยู่ที่ประมาณ 215,000 คัน

 

-ส่วนยอดขายในพื้นที่อื่น ๆ ของโลกเพิ่มขึ้น 48% อยู่ที่ 153,594 คัน

 

นายเลสเตอร์กล่าวว่า “เมื่อแรงจูงใจจากรัฐบาลกลางสิ้นสุดลง ความต้องการในสหรัฐฯ คาดว่าจะลดลงอย่างรวดเร็วในไตรมาสสุดท้ายของปี”

 

ทั้งนี้ ผู้ผลิตรถยนต์บางราย เช่น General Motors และ Hyundai พยายามลดผลกระทบดังกล่าวด้วยการเสนอส่วนลดหรือระบายสต็อกจากดีลเลอร์ อย่างไรก็ตาม การผลิตโดยรวมกำลังถูกปรับลดลง เขาเสริม