จากศูนย์กลางสุขภาพโลกสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคต Longevity Economy
หาคำตอบว่าไทยจะสามารถต่อยอดความสำเร็จจาก "Wellness Tourism" ในปัจจุบัน สู่ "Longevity Economy" เศรษฐกิจแห่งอนาคตที่เน้นการมีชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพที่ดีได้อย่างไร
KEY
POINTS
- ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเศรษฐกิจเวลเนส (Wellness Economy) ของโลก ด้วยมูลค่าตลาดกว่า 1.4 ล้านล้านบาท โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่เติบโตอย่างรวดเร็ว
- ความสำเร็จนี้เกิดจากยุทธศาสตร์ "5S" ที่ผสมผสานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับอัตลักษณ์และภูมิปัญญาไทย เพื่อยกระดับสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับโลกอย่างเป็นระบบ
- วิสัยทัศน์ในอนาคตคือการต่อยอดไปสู่ "เศรษฐกิจแห่งการมีชีวิตที่ยืนยาว" (Longevity Economy) ที่มุ่งเน้นการยืดช่วงเวลาของการมีสุขภาพดี (Health Span) ผ่านการแพทย์เชิงป้องกันและการดูแลเฉพาะบุคคล
“สุขภาพ” ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของการรักษา แต่กลายเป็น “เศรษฐกิจ” ที่ขับเคลื่อนโลก
คำว่า Wellness ได้เปลี่ยนจากเทรนด์ชั่วคราวมาเป็นเมกะเทรนด์ระดับโลกที่หยั่งรากลึกในวิถีชีวิตของผู้คน และกำลังกลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ของเศรษฐกิจมูลค่ามหาศาล ภายใต้กระแสนี้ ประเทศไทยได้ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในผู้นำที่โดดเด่นที่สุดในโลก ได้รับการจัดอันดับให้เป็น ตลาดสุขภาพที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ด้วยมูลค่ารวมกว่า 1.4 ล้านล้านบาท ในปี 2566 และมีอัตราการเติบโตถึง 28.4% ต่อปี คิดเป็น 7.87% ของ GDP ไทย ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสถิติ แต่คือหลักฐานของการเปลี่ยนผ่านเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่กำลังเกิดขึ้น
จากประเทศท่องเที่ยวสู่ประเทศแห่งสุขภาพ และต่อยอดไปสู่เศรษฐกิจแห่งอนาคตที่เรียกว่า Longevity Economy หรือเศรษฐกิจแห่งการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีคุณภาพ
นิยามความมั่งคั่งใหม่ของโลก เมื่อ “Wellness” กลายเป็นเศรษฐกิจ
การทำความเข้าใจ “เศรษฐกิจเวลเนส” (Wellness Economy) คือจุดเริ่มต้นสำคัญในการมองเห็นทิศทางโลกในศตวรรษใหม่ Wellness หมายถึงการใช้ชีวิตอย่างสมดุลทั้งกาย ใจ และจิตวิญญาณ โดยผสมผสานแนวคิดจากศาสตร์สุขภาพโบราณอย่างอายุรเวทของอินเดีย การแพทย์แผนจีน และแนวทางกรีก-โรมัน เข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ปัจจุบันตลาดเวลเนสทั่วโลกมีมูลค่าสูงกว่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะทะยานแตะ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2571
ในเวทีโลก คู่แข่งอย่าง AMAALA ในซาอุดีอาระเบีย คือกรณีศึกษาที่แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานใหม่ของอุตสาหกรรมเวลเนส ด้วยแนวคิด “Ultra-luxury Wellness Community” ที่ผสานเทคโนโลยีล้ำสมัย ความยั่งยืนแบบ Carbon Neutral และแนวคิดการท่องเที่ยวเชิงฟื้นฟู (Regenerative Tourism) เข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ ขณะที่ประเทศไทยอาจยังพัฒนาแบบแยกส่วน แต่ข้อได้เปรียบเชิงโครงสร้างของไทยคือ “ระบบนิเวศสุขภาพที่มีอยู่แล้ว” ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ระดับโลก วัฒนธรรมการดูแลสุขภาพแบบไทย และโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
เปิดแผนที่ขุมทรัพย์ 1.4 ล้านล้านบาท พลังซ่อนเร้นในเศรษฐกิจเวลเนสไทย
เมื่อเจาะลึกเข้าไปในโครงสร้างเศรษฐกิจเวลเนสของไทย จะพบว่าการเติบโตนี้ไม่ได้เกิดจากภาคส่วนเดียว แต่เป็นผลจากการผสานพลังของอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ตั้งแต่การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อาหารและโภชนาการ ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ ไปจนถึงเวชศาสตร์เฉพาะบุคคลและสุขภาพจิต โดยเฉพาะ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) ที่มีมูลค่าสูงถึง 415,000 ล้านบาท หรือกว่า 30% ของตลาดทั้งหมด และเติบโตถึง 119.5% ภายในปีเดียวหลังโควิด-19
สิ่งที่น่าจับตามองคือ “พลังการใช้จ่าย” ของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพต่างชาติที่ใช้จ่ายเฉลี่ย 58,000 บาทต่อทริป มากกว่านักท่องเที่ยวไทยกว่า 5 เท่า นั่นหมายความว่าการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวมูลค่าสูงกลายเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย และเป็นกุญแจสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต
โมเดล “5S” พิมพ์เขียวสู่การเป็น Wellness Hub ของโลก
ความสำเร็จของไทยไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่ถูกหล่อหลอมจากวิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์ที่ชัดเจนผ่านโมเดล “5S” ที่ถอดแนวคิดมาจากยุทธศาสตร์ของ กระทรวงสาธารณสุข, กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, และ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) ร่วมกันผลักดันเป้าหมาย “Thailand as a Global Wellness Hub” โดยวางรากฐานให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางเวลเนสระดับโลก ได้แก่
- Scientific Wellness Services – การยกระดับบริการสุขภาพด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น เวชศาสตร์แม่นยำ (Precision Medicine), Genome, AI และ Telemedicine เพื่อสร้างบริการเชิงป้องกันที่พิสูจน์ผลลัพธ์ได้จริง
- Signature Thai Wellness – การสร้างอัตลักษณ์ไทยที่ไม่อาจลอกเลียนแบบได้ ผ่านภูมิปัญญาไทย เช่น นวดไทย สมุนไพร และอาหารสุขภาพ ผสานกับมาตรฐานทางการแพทย์ระดับโลก
- Sustainable Wellness Tourism – การพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวสุขภาพที่ยั่งยืน สอดคล้องกับแนวคิด ESG และ Green Destination เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวกลุ่มคุณภาพสูง
- Smart Healthcare Technology – การนำ Big Data และ AI มายกระดับบริการด้านสุขภาพแบบรายบุคคล (Personalized Healthcare) เพื่อเปลี่ยนจากการรักษาเชิงรับเป็นการดูแลเชิงรุก
- Safe & Trusted Destination – การสร้างความเชื่อมั่นด้วยมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูง ทั้งทางการแพทย์และการบริการ
ดังที่ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic กล่าวไว้ว่า
“ประเทศไทยมีครบทุกองค์ประกอบ ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ระดับโลก ราคาที่แข่งขันได้ วิถีชีวิตแห่งสุขภาพ และการต้อนรับอันอบอุ่น เราพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำด้าน Wellness Tourism ของโลก”
จาก Wellness Tourism สู่ “Longevity Economy” วิสัยทัศน์เศรษฐกิจแห่งชีวิตที่ยืนยาว
ในก้าวต่อไปของวิวัฒนาการอุตสาหกรรมสุขภาพโลกกำลังเปลี่ยนจาก “Wellness Tourism” ไปสู่ “Longevity Economy” เศรษฐกิจที่เน้นการยืด Health Span หรือ “ช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดี” มากกว่าเพียงการยืดอายุขัย แนวคิดนี้สอดคล้องกับการแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Medicine) และการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ซึ่งตอบโจทย์สังคมผู้สูงวัยทั่วโลกได้อย่างแม่นยำ
สัญญาณของการเปลี่ยนผ่านนี้เริ่มชัดเจนในประเทศไทย ภาคส่วนเวชศาสตร์ป้องกันและแพทย์เฉพาะบุคคล เติบโตถึง 10.5% ขณะที่ อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) ขยายตัว 11.4% นำโดยโครงการมิกซ์ยูส “เวลเนสซิตี้” มูลค่า 25,000 ล้านบาทของ BDMS ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้ชีวิตเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ อีกทั้ง สุขภาพจิต (Mental Wellness) ยังเติบโตถึง 13.7% สะท้อนถึงการยกระดับมุมมองเรื่องสุขภาพที่ครอบคลุมทั้งกายและใจ
ด้วยความพร้อมทั้งในด้านบุคลากร การแพทย์ วัฒนธรรม และโครงสร้างพื้นฐาน ประเทศไทยตั้งเป้าจะก้าวขึ้นสู่ Top 5 Wellness Destination ของโลก ภายในปี 2025 พร้อมคาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจะทะลุ 15 ล้านคน ซึ่งหมายถึงการก้าวสู่เวทีแข่งขันโดยตรงกับประเทศมหาอำนาจสุขภาพอย่างสหรัฐฯ เยอรมนี และจีน
บทสรุปอนาคตที่มั่งคั่ง คือสุขภาพที่ยั่งยืน
ประเทศไทยกำลังก้าวสู่จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจ เมื่อ “สุขภาพ” ไม่ใช่เพียงความเป็นอยู่ที่ดี แต่กลายเป็น “พลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจแห่งอนาคต” ด้วยรากฐานทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง วิสัยทัศน์เชิงกลยุทธ์อย่างโมเดล 5S และความร่วมมือกับองค์กรระดับโลก เช่น Global Wellness Institute ประเทศไทยจึงไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ แต่กำลังจะกลายเป็น ระบบนิเวศสุขภาพแบบครบวงจร ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
การก้าวสู่ “Longevity Economy” จึงไม่ใช่แค่การสร้างรายได้มหาศาลเข้าประเทศ แต่คือการลงทุนใน “ความมั่งคั่งที่แท้จริง” สุขภาพที่ดีของประชาชนทั้งประเทศ เพราะในอนาคตอันใกล้ “ความมั่งคั่งที่ยั่งยืนที่สุด” จะไม่ใช่ทองคำหรือพลังงาน แต่คือ ชีวิตที่ยืนยาว แข็งแรง และมีความสุข
อ้างอิง:
www.bdmswellness.com
tatreviewmagazine.com
www.brandbuffet.in.th


