เทรนด์ Wellness Tourism มาแรง โตเร็วกว่าท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า!
จากเทรนด์สุขภาพสู่กลไกเศรษฐกิจใหม่ ผู้นำท่องเที่ยวจับมือเคทีซีผลักไทยสู่ Wellness Destination แห่งเอเชีย ด้วยพลังอาหาร สมุนไพร และวัฒนธรรมไทย
KEY
POINTS
- การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) เป็นเทรนด์ที่เติบโตทั่วโลกเร็วกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า โดยคาดว่าตลาดจะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2025 ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจสุขภาพแบบองค์รวมมากขึ้น
- เทรนด์นี้กลายเป็นเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมีค่าใช้จ่ายต่อทริปสูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 56% และมีแนวโน้มเข้าพักระยะยาวขึ้น สร้างรายได้ให้ประเทศอย่างมหาศาล
- ประเทศไทยมีศักยภาพสูงในการเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก (Wellness Destination) จากจุดแข็งด้านวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น อาหารเป็นยา, สมุนไพร, และการแพทย์แผนไทย ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงได้
ผู้นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชี้ “Wellness Tourism” คือเครื่องยนต์ใหม่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เคทีซีผนึกพันธมิตรวงการท่องเที่ยว เปิดเวที “Thailand Wellness Tourism: From Longevity Economy to Lifestyle for All” จุดประกายแนวคิดสุขภาพเชื่อมเศรษฐกิจ สร้างโอกาสใหม่ให้ไทยสู่ Wellness Destination ระดับโลก
เคทีซี หรือบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) จัดงานเสวนา “Thailand Wellness Tourism: From Longevity Economy to Lifestyle for All” โดยรวบรวมผู้นำอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชั้นนำของไทย ได้แก่ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ชีวาศรม ปัญญ์ปุริ Thailand Gastronomy Network และโรงแรมสุโขทัย มาร่วมวิเคราะห์ทิศทาง “Wellness Tourism” หรือการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งกำลังกลายเป็น “เครื่องยนต์ใหม่” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยยุคหลังโควิด-19
ข้อมูลล่าสุดจาก Global Wellness Institute (GWI) คาดการณ์ว่า ภายในปี 2025 ตลาดการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 7 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 230 ล้านล้านบาท) และเติบโตเร็วกว่าการท่องเที่ยวทั่วไปเกือบ 2 เท่า สะท้อนให้เห็นพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ “สุขภาพกาย ใจ และคุณภาพชีวิต” มากขึ้น
Wellness Ecosystem คือกุญแจสำคัญ สู่การเป็น Wellness Destination ของไทย
นายภูมิกิตติ์ รักแต่งาม รองประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และที่ปรึกษา BDMS Wellness ชี้ว่า วิกฤตโควิด-19 ได้เปลี่ยนแนวคิดเรื่องสุขภาพให้กลายเป็น “ไลฟ์สไตล์ถาวร” ผู้คนทั่วโลกหันมาดูแลตัวเองทั้งในด้านอาหาร การออกกำลังกาย และสุขภาพจิต นำไปสู่การเติบโตของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)” ซึ่งแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ
- Primary Wellness Tourism – นักเดินทางที่ตั้งใจท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะ (15%) มียอดใช้จ่ายสูง
- Secondary Wellness Tourism – นักท่องเที่ยวทั่วไปที่มีกิจกรรมเพื่อสุขภาพเสริมระหว่างทริป (85%)
“หากประเทศไทยต้องการก้าวสู่การเป็น Wellness Destination ระดับโลก เราต้องสร้าง Ecosystem ครบวงจร ตั้งแต่นโยบายภาครัฐ มาตรฐานบริการ ไปจนถึงการส่งเสริมสุขภาวะของคนไทยเอง โดยเฉพาะการเจาะตลาด Gen Z (อายุ 13–28 ปี) ที่พร้อมลงทุนเพื่อสุขภาพและคุณภาพชีวิต” — นายภูมิกิตติ์กล่าว
ชีวาศรมชี้ตลาดโตแรง นักท่องเที่ยวสุขภาพพักยาวสูงสุด 6 เดือน
นายกรด โรจนเสถียร ที่ปรึกษาประธานบริหารและประธานกรรมการ ชีวาศรม อินเตอร์เนชั่นแนล เฮลท์ รีสอร์ท เผยว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวของชีวาศรมกว่า 80% เป็นชาวต่างชาติ และอีก 20% เป็นชาวไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นมากจากก่อนโควิดที่มีไม่ถึง 2% โดยกลุ่มหลักคือ Gen X (46–60 ปี) และ Gen Y (31–45 ปี) ที่นิยมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบองค์รวม ใช้จ่ายเฉลี่ย 60,000–100,000 บาทต่อทริป และมีแนวโน้มพักระยะยาว ตั้งแต่ 7 คืนจนถึง 3 เดือน บางรายอยู่ถึง 6 เดือน
นายกรดย้ำว่า “เสน่ห์ความเป็นไทย” คือหัวใจในการสร้างความแตกต่างของตลาด Wellness Tourism เพราะประเทศไทยมีจุดแข็งครบ ทั้งอาหารสุขภาพ สมุนไพร การแพทย์แผนไทย และวัฒนธรรมที่จับต้องได้ สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ แต่ยังช่วยกระจายรายได้สู่ชุมชนอย่างยั่งยืน
“Thai Senses” พลังแห่งเอกลักษณ์ไทยบนเวทีโลก
นายปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด แบรนด์เครื่องหอมสัญชาติไทย "ปัญญ์ปุริ (PAÑPURI)" กล่าวเสริมว่า เอกลักษณ์ของไทยอยู่ที่การเชื่อมโยง “5 Senses” กลิ่น รส สัมผัส เสียง และบรรยากาศ ซึ่งปัญญ์ปุรินำมาสร้างสรรค์เป็น Wellness Experience ที่แตกต่าง เช่น กลิ่นหอมจากพืชสมุนไพรไทยเช่น กระเพรา หรือดอกไม้หอมอย่างมะลิ และภูมิปัญญาโบราณที่ช่วยฟื้นฟูพลังใจ “จุดแข็งเหล่านี้คือ Top of Mind ของโลก ที่เราสามารถต่อยอดเป็นรายได้ระดับโลกได้อย่างแท้จริง” เขากล่าว
ยิ่งกว่านั้นการจัดการกับความเครียดของคนในยุคนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเสริมให้ตลาด wellness เติบโตไวไม่เฉพาะในกลุ่มคนสูงวัยเท่านั้น
“อาหารเป็นยา” หัวใจของ Wellness Tourism ไทย
ผศ.ดร. จุฑามาศ วิศาลสิงห์ ประธานเครือข่าย Thailand Gastronomy Network กล่าวว่า อาหารไทยคือหัวใจสำคัญของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เพราะผสานภูมิปัญญาสมุนไพร เครื่องแกง และหลัก “Food as Medicine – อาหารเป็นยา” ไว้อย่างลงตัว “หากเราสื่อสารให้ผู้บริโภคทั่วโลกเห็นคุณค่าทางโภชนาการ และความสัมพันธ์ระหว่างรสชาติ สุขภาพ และวัฒนธรรม จะสามารถต่อยอดอาหารไทยให้เป็นพลังขับเคลื่อน Wellness Tourism ได้อย่างยั่งยืน”
เธอยังเปิดเผยว่า GWI คาดว่าในปี 2027 อุตสาหกรรม Wellness Tourism จะมีมูลค่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 51 ล้านล้านบาท) โดยนักท่องเที่ยวสุขภาพใช้จ่ายเฉลี่ยต่อทริป 1,886 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 68,000 บาท) สูงกว่านักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 56% ทั้งนี้ ประเทศไทยยังครอง อันดับ 1 ของโลกด้านการเติบโตของตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ระหว่างปี 2022–2023 ในกลุ่ม 25 ประเทศชั้นนำ
“ประเทศไทยมีศักยภาพสูงมากที่จะเป็น ‘Wellness Hub แห่งเอเชีย’ หากเรานำแนวคิด Wellness on a Plate มาสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ทั้งอร่อย ดีต่อสุขภาพ และสะท้อนความเป็นไทยอย่างร่วมสมัย” — ผศ.ดร.จุฑามาศ กล่าวทิ้งท้าย
The Sukhothai Spa ตัวอย่างต้นแบบของการผสานวัฒนธรรมกับสุขภาพ
มิสเตอร์ ริชาร์ด ดอยท์ล ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมสุโขทัย กรุงเทพฯ กล่าวว่า The Sukhothai Spa คือหนึ่งในตัวอย่างของ “การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพแบบไทย” ที่ผสมผสานเรือนไทยโบราณเข้ากับศาสตร์บำบัดสมัยใหม่ได้อย่างกลมกลืน จนกลายเป็นพื้นที่แห่งการพักผ่อนและเยียวยาแบบองค์รวม พร้อมยกระดับด้วยมาตรฐานสากล ซึ่งการได้รับรางวัล Michelin Keys 2 ดอก ตอกย้ำความเป็นเลิศด้านบริการระดับโลก และช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination ชั้นนำของโลก อย่างยั่งยืน
เคทีซีปักหมุด Wellness Hub สร้าง Ecosystem การเดินทางสุขภาพครบวงจร
นางสาว วริษฐา พัฒนรัชต์ ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายการตลาดบัตรเครดิต เคทีซี เปิดเผยว่า สมาชิกเคทีซีมีแนวโน้มใช้จ่ายด้านสุขภาพมากขึ้น โดยพบว่ายอดใช้จ่ายในโรงแรมที่เน้น Wellness สูงกว่าโรงแรมทั่วไปถึง 1.88 เท่า และมีกลุ่มคนอายุ 30–35 ปี ที่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เคทีซีจึงพัฒนาแพลตฟอร์ม “KTC Wellness Hub” ที่รวบรวมสิทธิประโยชน์จากกว่า 60 พันธมิตร ครอบคลุมรีสอร์ทสุขภาพ โรงพยาบาล สปา และร้านอาหารสุขภาพ เพื่อมอบสิทธิ์เข้าถึงบริการสุขภาพคุณภาพสูงได้อย่างสะดวกและคุ้มค่า
“บทบาทของเคทีซีไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการบัตรเครดิต แต่คือฟันเฟืองสำคัญในการเชื่อมต่อผู้ประกอบการไทยกับฐานลูกค้าคุณภาพกว่า 2.8 ล้านราย เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Wellness Destination แห่งเอเชีย อย่างแท้จริง” — นางสาววริษฐากล่าวทิ้งท้าย
กระแส Wellness Tourism ไม่ได้เป็นเพียงเทรนด์ชั่วคราว แต่กำลังกลายเป็น “โอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ” ที่รวมพลังของสุขภาพ วัฒนธรรม และการท่องเที่ยวเข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ภายใต้จุดแข็งของไทยทั้งด้านอาหาร สมุนไพร การแพทย์แผนไทย และการบริการระดับโลก หากทุกภาคส่วนเดินหน้าร่วมกัน ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะก้าวขึ้นเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของโลก (Global Wellness Hub) ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน


