ไทยเดินหน้าพัฒนาเทคฯ ระบบกักเก็บพลังงานขนาดใหญ่ หนุนอนาคตพลังงานสะอาด
ONNEX by SCG จับมือ Sigenergy จากจีน พัฒนาเทคโนโลยี BESS แบตเตอรี่ขนาด 50MWh เสริมเสถียรระบบไฟฟ้า หนุนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ยุคพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- ระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) เป็นเทคโนโลยีสำคัญที่ช่วยสร้างเสถียรภาพให้กับพลังงานหมุนเวียน ทำให้ไทยสามารถเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานสะอาดและบรรลุเป้าหมายสังคมคาร์บอนต่ำได้
- ภาคเอกชนไทย เช่น ONNEX by SCG ได้เริ่มลงทุนและร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีต่างชาติเพื่อพัฒนาระบบ BESS ขนาดใหญ่สำหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาดอย่างเป็นรูปธรรม
- การพัฒนา BESS ในไทยมีการนำเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI และ Modular Design มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเป็นรากฐานสำคัญในการต่อยอดสู่ Smart Grid, Smart City และรองรับโครงสร้างพื้นฐานสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าในอนาคต
การพัฒนาระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage System: BESS) กำลังกลายเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญของไทยในการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำและการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน (Energy Transition) อย่างเป็นรูปธรรม
การลงทุนในเทคโนโลยี BESS ไม่เพียงช่วยบริหารจัดการไฟฟ้าที่ผลิตจากพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์และลม ให้มีความเสถียรและพร้อมใช้งานตลอดเวลา แต่ยังช่วยลดความผันผวนของระบบไฟฟ้าและเพิ่มความมั่นคงด้านพลังงานให้กับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม
ล่าสุด ONNEX by SCG ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกรอบ (Framework Agreement) กับ Sigenergy Technology บริษัทเทคโนโลยีจากจีน เพื่อพัฒนาระบบ BESS ขนาด 50 เมกะวัตต์ชั่วโมง (50 MWh) สำหรับภาคอุตสาหกรรมไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการขับเคลื่อนพลังงานสะอาดของ SCG และเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ขององค์กร ความร่วมมือนี้สะท้อนให้เห็นถึงทิศทางที่ภาคเอกชนไทยเริ่มมีบทบาทสำคัญในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด (Clean Energy Infrastructure) เพื่อรองรับการเติบโตของพลังงานหมุนเวียน
ในเชิงเทคนิค BESS มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของสถานประกอบการ ทั้งในด้านการกักเก็บไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ผลิตเกินความต้องการ และปล่อยไฟฟ้าในช่วงพีคเพื่อลดค่าใช้จ่ายด้านอัตราไฟฟ้าสูงสุด นอกจากนี้ การพัฒนาระบบ BESS ในต่างประเทศ เช่น จีนและยุโรป ใช้เทคโนโลยี DC Coupling และ Modular Design เพื่อความยืดหยุ่นในการติดตั้ง พร้อมกับการใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบเรียลไทม์และคาดการณ์การใช้พลังงานล่วงหน้า ซึ่งเป็นแนวทางที่ไทยสามารถเรียนรู้และปรับใช้เพื่อต่อยอด Smart Grid และ Smart City ในอนาคต
นาย Samuel Zhang, President & Co Founder - Sigenergy Technology (ที่ 5 จากซ้าย) เผยว่า “Sigenergy เน้นการพัฒนาโซลูชันโซลาร์เซลล์และระบบกักเก็บพลังงาน (BESS – Battery Energy Storage System) โดยมีเทคโนโลยีอินเวอร์เตอร์และแบตเตอรี่ที่ทันสมัย ประสิทธิภาพสูง ทำให้มีจุดแข็งกว่าคู่แข่งในตลาด อาทิ ด้วยระบบ DC Coupling ที่ไม่ต้องติดตั้งตู้ MDB และสายไฟฟ้าของระบบ AC Coupling จึงช่วยลดเงินลงทุนได้มากกว่า 21%, Modular Design ซึ่งสามารถเพิ่มลดขนาดของแบตเตอรี่ได้ตามความต้องการของผู้ใช้งาน, ระบบ AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพระบบแบบเรียลไทม์ สามารถวิเคราะห์ปัญหา ไปจนถึงการวางแผนพลังงานเชิงคาดการณ์ได้, Zero Millisec Power Injection ด้วยอัลกอริทึมขั้นสูง รับประกันความเสถียรและจ่ายพลังงานอย่างต่อเนื่องแม้ในขณะไฟฟ้าดับ และ Function V2X (Vehicle-to-Everything) คือเทคโนโลยีที่เปลี่ยนรถ EV ให้กลายเป็นแหล่งพลังงานอัจฉริยะที่สามารถจ่ายไฟกลับเข้าบ้านหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ได้”
จากมุมมองเชิงนโยบาย การพัฒนาระบบ BESS ยังสอดคล้องกับ แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (Power Development Plan: PDP) ของไทย ที่เน้นการเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนและลดการพึ่งพาพลังงานฟอสซิล การมี BESS ขนาดใหญ่รองรับจะช่วยให้ระบบไฟฟ้าสามารถรองรับการผลิตพลังงานหมุนเวียนในระดับสูงได้อย่างมั่นคง และเปิดโอกาสในการเชื่อมต่อกับระบบ EV Charging Infrastructure และอาคารอัจฉริยะ (Smart Building) เพื่อสร้างระบบพลังงานครบวงจรที่ยั่งยืน
โดยสรุปการลงทุนและพัฒนาระบบ BESS ไม่ใช่เพียงแค่การเสริมสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้ภาคอุตสาหกรรม แต่ยังเป็น รากฐานสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสะอาด ที่จะขับเคลื่อนไทยสู่เป้าหมาย Net Zero และรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ Smart City ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า


