posttoday

คลาสสิกรถเมล์ไทย จากภาพจำควันดำสู่แผนปฏิรูป EV Bus ปี 2570

01 ตุลาคม 2568

สำรวจเส้นทางรถเมล์เก่าอายุเกิน 30 ปี สัญลักษณ์ควันดำของกรุงเทพฯ ที่กำลังถูกแทนที่ด้วย EV Bus ภายในปี 2570 เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม

KEY

POINTS

  • รถเมล์ไทยในเมืองกรุงจำนวนมาก โดยเฉพาะรถร้อนสีแดง-ครีม มีสภาพเก่าเกินอายุใช้งานกว่า 30 ปี สร้างภาพจำด้านลบจากปัญหามลพิษควันดำและเสียงดัง ซึ่งเป็นผลจากช่องโหว่ทางกฎหมายและการจัดซื้อรถใหม่ที่ล่าช้า
  • รัฐบาลได้วางแผนปฏิรูปครั้งสำคัญ โดยตั้งเป้าหมายที่จะปลดระวางรถเมล์ดีเซลเก่าทั้งหมด และนำรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV Bus) เข้ามาทดแทนให้ครบภายในปี พ.ศ. 2570
  • การเปลี่ยนผ่านสู่ EV Bus มีเป้าหมายเพื่อยกระดับระบบขนส่งมวลชนให้ทันสมัย ลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างมลพิษทางอากาศและเสียง พร้อมทั้งปรับปรุงคุณภาพบริการและความปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสาร

เช้าวันทำงานในกรุงเทพฯ หากคุณยืนอยู่ริมถนนพหลโยธินหรือราชดำเนิน ภาพที่คุ้นตาอาจไม่ใช่เพียงขบวนรถไฟฟ้าที่วิ่งผ่าน แต่คือเสียงเครื่องยนต์ดังสนั่นของ “รถเมล์ร้อนสีแดง–ครีม” ที่จอดรับผู้โดยสาร เสียงเบรกครืดคราดและกลิ่นควันดำตลบอบอวล นี่คือ “ฉากประจำ” ของเมืองที่หลายคนคุ้นชิน แต่ในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคน มันอาจคือภาพย้อนยุคที่สะท้อนความล้าหลังของระบบขนส่ง

 

มรดกขนส่งที่หลงเหลือ หรือสัญลักษณ์ความล้าหลังของเมือง?

กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งในเมืองที่มีระบบขนส่งมวลชนผสมผสานหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่รถไฟฟ้า เรือด่วน ไปจนถึงรถเมล์ที่แล่นอยู่บนท้องถนน แต่สิ่งที่ยังคงเป็น “ภาพจำ” ของเมืองนี้มานานกว่าสามทศวรรษ คือรถเมล์ดีเซลเก่าอายุเกิน 30 ปี ที่ยังคงวิ่งรับ–ส่งผู้โดยสารอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นรถเมล์ร้อนสีแดง–ครีม หรือรถแอร์รุ่นโบราณที่หลายคันอายุมากกว่าผู้โดยสารที่นั่งอยู่ในนั้น

 

ปัจจุบัน ขสมก. มีรถโดยสารรวมราว 2,884 คัน ในจำนวนนี้คือรถร้อนประมาณ 1,520 คัน และรถปรับอากาศอีกกว่า 1,300 คัน โดยรถจำนวนมากถูกใช้งานต่อเนื่องยาวนานกว่า 20–35 ปี บางคันมีอายุแตะ 40 ปี แล้ว

 

คลาสสิกรถเมล์ไทย จากภาพจำควันดำสู่แผนปฏิรูป EV Bus ปี 2570

 

แม้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะ เช่น พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 และกฎกระทรวงที่ออกตามมา จะระบุให้รถโดยสารสาธารณะควรมีอายุการใช้งานไม่เกิน 20 ปี แต่ในทางปฏิบัติ กลับเกิด “ช่องโหว่” ที่ทำให้รถเก่ายังคงวิ่งต่อได้ ทั้งจากการผ่อนผันที่ ขสมก. ได้รับเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากการจัดซื้อรถใหม่ล่าช้า การตรวจสภาพที่แม้จะกำหนดเข้มงวดแต่กลับไม่ถูกบังคับใช้อย่างจริงจัง และการซ่อมบำรุงที่มุ่งยืดอายุการใช้งานแทนที่จะเปลี่ยนรถใหม่

 

ผลลัพธ์คือรถเมล์จำนวนมากยังคงวิ่งอยู่แม้จะเกินอายุที่ควรปลดระวาง ส่งผลกระทบทั้งต่อคุณภาพบริการ ความปลอดภัยของผู้โดยสาร และสิ่งแวดล้อมในเมือง

 

ปัญหาที่ตามมาจากการคงอยู่ของรถเมล์เก่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ทั้งเสียงดัง มลพิษจากควันดำ และความไม่น่าเชื่อถือในการเดินทางที่ไม่ตรงเวลา สิ่งเหล่านี้ทำให้ระบบรถเมล์ไทย “แข่งขันไม่ได้” เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสิงคโปร์หรือมาเลเซีย ที่ปรับเปลี่ยนระบบรถเมล์เป็นพลังงานสะอาดไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม หลายเสียงยังบอกว่ารถเมล์เก่าก็ยังมี “เสน่ห์” แปลกตาสำหรับนักท่องเที่ยว เพราะเป็นหนึ่งในไม่กี่มหานครที่ยังคงมีบริการรถร้อนราคาถูกเพียง 8–10 บาทตลอดสาย

 

อย่างไรก็ตาม บทเรียนที่ผ่านมาทำให้รัฐบาลเริ่มจริงจังกับการปฏิรูประบบขนส่ง และได้วางแผนใหญ่ว่า ภายในปี 2570 (ค.ศ. 2027) รถเมล์ดีเซลเก่าอายุเกิน 30 ปีทั้งหมดจะถูกปลดระวาง และแทนที่ด้วย รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า (EV Bus)  โดยโครงการนี้ครอบคลุมการปลดระวางรถร้อนเก่าจำนวน 1,520 คัน และใช้งบประมาณกว่า 15,000 ล้านบาท เปิดประมูลในเดือนตุลาคม 2568 และเริ่มส่งมอบรถใหม่ตั้งแต่กันยายน 2569 เป็นต้นไป ก่อนจะทยอยจนครบทั้งหมดภายใน 2570 การเปลี่ยนผ่านครั้งนี้ไม่ใช่เพียงการซื้อรถใหม่ แต่ยังรวมถึงการปรับโครงสร้างเส้นทางรถเมล์กว่า 200 สาย ให้สอดคล้องกับระบบราง ตลอดจนบูรณาการเข้ากับระบบตั๋วร่วมและการเดินทางรูปแบบอื่นเพื่อสร้างความไร้รอยต่อ

 

แผนการใช้ EV Bus ยังมีเป้าหมายเชิงสิ่งแวดล้อมที่ชัดเจน คือการลดมลพิษทางอากาศ ลดเสียงรบกวน และช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกรุงเทพฯ ให้สอดคล้องกับนโยบายความยั่งยืนระดับประเทศ แม้จะยังมีความท้าทายอยู่มาก ทั้งภาระหนี้สะสมของ ขสมก. การสร้างสถานีชาร์จไฟฟ้าในอู่รถ และความต่อเนื่องทางการเมืองที่อาจส่งผลต่อโครงการ

 

แต่การขีดเส้นตายปี 2570 ถือเป็น “จุดเปลี่ยนเชิงประวัติศาสตร์” ที่จะพาเมืองหลวงไทยออกจากเงาของรถเมล์ควันดำไปสู่ระบบขนส่งสะอาดและทันสมัยได้จริงหรือไม่ คงต้องรอดูกันต่อไป!

 

FACT:

1. ตัวเลขที่บอกเล่าอายุ

ข้อมูลจาก ขสมก. ระบุว่า ปัจจุบันมีรถโดยสารรวมราว 2,884 คัน โดยในนั้นคือรถเมล์ “ร้อน” ประมาณ 1,520 คัน และรถปรับอากาศอีกกว่า 1,300 คัน ซึ่งรถเหล่านี้จำนวนมากถูกใช้งานมาแล้วกว่า 20–35 ปี บางคันเกือบแตะ 40 ปีด้วยซ้ำ

รถเมล์ร้อนรุ่น “เบนซ์แดง” หลายคันเริ่มให้บริการตั้งแต่ยุค 2527–2530

รถเมล์แอร์บางรุ่นนำเข้ามาในช่วงปลายทศวรรษ 2530 – ต้น 2540

เมื่อรวมอายุการใช้งาน รถจำนวนไม่น้อยจึง “แก่กว่า” ผู้โดยสารที่ขึ้นอยู่ทุกวัน

 

2. ช่องโหว่ทางกฎหมายที่ยืดอายุ

ตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 รถโดยสารควรมีอายุไม่เกิน 20 ปี แต่ในความจริง รถเมล์เก่ายังคงให้บริการได้ด้วยเหตุผล 3 ประการหลัก:

การผ่อนผัน: ขสมก. มักได้รับการยกเว้นเรื่องอายุรถ เนื่องจากแผนจัดซื้อหรือเช่ารถใหม่ล้มเหลวหลายครั้ง

การตรวจสภาพที่อ่อนแรง: แม้กำหนดให้รถเก่าเกิน 7 ปีต้องตรวจปีละ 2 ครั้ง แต่หลายครั้งเป็นเพียงการตรวจเชิงสัญลักษณ์ ไม่ได้เข้มงวดจนรถถูกปลดระวาง

การซ่อมยืดอายุ: รถเก่ามักถูกซ่อมเฉพาะจุดเพื่อให้ยังวิ่งได้ ไม่ใช่ปรับปรุงทั้งระบบ ความปลอดภัยจึงขึ้นอยู่กับโชคมากกว่ามาตรฐาน

 

3. ภาพจำและผลกระทบ

รถเมล์เก่ามีสองด้านที่น่าสนใจ

ด้านบวก: ราคาถูกที่สุดในระบบขนส่ง (8–10 บาทตลอดสาย) มีเสน่ห์แบบวินเทจ เป็นที่ถ่ายรูปยอดนิยมของนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสบรรยากาศ “รถเมล์ไทยแท้ ๆ”

ด้านลบ: เสียงดัง ร้อน อึดอัด มลพิษจากควันดำ ปล่อย PM 2.5 และไอเสียที่ไม่ผ่านมาตรฐาน ไม่ตรงเวลา รถเสียกลางทางบ่อย เป็นภาพลักษณ์ที่สะท้อนว่า “เมืองหลวงยังอยู่ในยุคเก่า”

 

4. รถเมล์เก่ากับบทเรียนเชิงระบบ

การที่รถอายุเกิน 30–40 ปียังวิ่งได้ แสดงถึง “ความไม่สอดคล้อง” ระหว่าง กฎหมาย–นโยบาย–การปฏิบัติจริง มีกฎหมายแต่บังคับใช้ไม่เด็ดขาด

นโยบายมี แต่การจัดซื้อรถใหม่ซับซ้อนและล้มเหลวซ้ำซาก

รัฐวิสาหกิจได้รับการผ่อนปรนมากกว่าเอกชน สะท้อนความเหลื่อมล้ำเชิงนโยบาย

รถเมล์เก่าจึงกลายเป็นสัญลักษณ์ของ ความเหลื่อมล้ำเชิงนโยบายที่ผู้โดยสารต้องเป็นฝ่ายแบกรับ

ข่าวล่าสุด

ดูบอลสด ถ่ายทอดสด ฟูแล่ม พบ คริสตัล พาเลซ พรีเมียร์ลีก วันนี้ 7 ธ.ค.68