ถอดบทเรียนไฟดับไทย-ฟิลิปปินส์ โจทย์ใหญ่พลังงานยุค IoT
ส่องทิศทางอุตสาหกรรมพลังงานกับเทคโนโลยี IoT โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ หากไร้เกราะป้องกัน อาจกลายเป็นหายนะกระทบชีวิตคนทั้งประเทศ
ระบบพลังงานทั่วโลกกำลังอยู่ในการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดในรอบหลายปี โดยมี Internet of Things (IoT) เป็นศูนย์กลางของการปฏิวัติครั้งนี้
ตั้งแต่การผลิตพลังงานแบบกระจายตัวไปจนถึงการสร้างโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) อุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกันได้กลายเป็นรากฐานสำคัญในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานที่สะอาดและขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเทคโนโลยี IoT ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็นำมาซึ่งความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน หากขาดระบบความปลอดภัยและความยืดหยุ่น (Resilience) ที่แข็งแกร่งพอ
ความล้มเหลวของอุปกรณ์เพียงจุดเดียวอาจนำไปสู่การหยุดชะงักของระบบ และอาจลุกลามจนเกิดเหตุการณ์ไฟฟ้าดับเป็นวงกว้างได้
สัญญาณเตือนความเปราะบาง
คุณ Syed Natashrul, Asia Pacific Lead จาก Wireless Logic ชี้ให้เห็นว่า แม้เหตุการณ์ไฟดับที่เกิดขึ้นล่าสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะไม่ได้มีสาเหตุมาจาก IoT โดยตรง
แต่ก็เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความเปราะบางของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน
- ประเทศไทย: เหตุอุทกภัยในจังหวัดเชียงใหม่จากพายุไต้ฝุ่นยางิในปี 2567 และปัญหาไฟฟ้าดับบนเกาะสมุยที่เกิดจากสายไฟฟ้าเก่า แสดงให้เห็นว่าทั้งภัยธรรมชาติและความท้าทายด้านโครงสร้างพื้นฐานเดิม ยังคงเป็นปัญหาสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า
- ประเทศฟิลิปปินส์: การแจ้งเตือนระดับสีเหลืองในเขตลูซอน เนื่องจากปริมาณไฟฟ้าสำรองไม่เพียงพอจนเกิดไฟดับเป็นระยะ ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายในการบริหารจัดการอุปทานพลังงาน
คุณ Syed Natashrul ระบุว่า "เหตุการณ์เหล่านี้ตอกย้ำให้เห็นว่าทุกห่วงโซ่ในระบบพลังงาน ซึ่งรวมถึง IoT จำเป็นต้องมีความแข็งแกร่ง เพราะพลังงานคือโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประเทศ"
IoT: หัวใจสำคัญของการปฏิวัติพลังงานยุคใหม่
การเติบโตของการใช้ IoT ในอุตสาหกรรมพลังงานเป็นไปอย่างก้าวกระโดด โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2571 ภาคพลังงานจะมีการเชื่อมต่อผ่านระบบเซลลูลาร์มากถึง 1 พันล้านครั้ง
เหตุผลเบื้องหลังคือการเปลี่ยนผ่านจากการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่พลังงานหมุนเวียน ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลแบบเรียลไทม์และการทำงานแบบอัตโนมัติเพื่อสร้างเสถียรภาพสูงสุด
IoT ทำงานอย่างไรในระบบพลังงาน?
- เชื่อมต่อและตรวจสอบ: อุปกรณ์ IoT เช่น มิเตอร์อัจฉริยะ, แผงโซลาร์ฟาร์ม, กังหันลม, และระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (BESS) ถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ทำให้ผู้ให้บริการสามารถตรวจสอบกำลังการผลิตและจัดการสินทรัพย์ได้จากระยะไกล
- เพิ่มประสิทธิภาพ: ข้อมูลที่รวบรวมได้ช่วยให้สามารถคาดการณ์การบำรุงรักษาอุปกรณ์ จัดการความต้องการใช้พลังงาน และแจกจ่ายไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
- สร้างระบบพลังงานแบบสองทาง: ในบ้านเรือนและธุรกิจ ซิมการ์ดที่ติดตั้งในอินเวอร์เตอร์ของแผงโซลาร์เซลล์ ช่วยให้สามารถสื่อสารกับผู้ให้บริการพลังงาน ทำให้สามารถขายไฟฟ้าส่วนเกินกลับคืนสู่โครงข่ายได้
ความเสี่ยงและความท้าทาย
คุณค่าของ IoT จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อระบบมีความน่าเชื่อถือและปลอดภัยเท่านั้น เพราะเมื่อเครือข่ายของอุปกรณ์ขยายใหญ่ขึ้น ความเสี่ยงที่จุดอ่อนเพียงจุดเดียวจะนำไปสู่การล่มของทั้งระบบก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดคือ ภัยคุกคามทางไซเบอร์ ซึ่งมีความร้ายแรงถึงขนาดที่หน่วยงานความมั่นคงทางไซเบอร์และโครงสร้างพื้นฐานของสหรัฐฯ (CISA)
ได้ออกมาเตือนถึงภัยคุกคามที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลซึ่งมุ่งเป้าโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ การโจมตีเหล่านี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างความปั่นป่วนหรือทำลายระบบ
ซึ่ง IoT ที่แพร่หลายในอุตสาหกรรมพลังงานได้กลายเป็นเป้าหมายที่น่าดึงดูดใจ
สร้างเกราะป้องกัน หนทางสู่ IoT ที่มั่นคงและยืดหยุ่น
เพื่อลดความเสี่ยงและรับประกันเสถียรภาพของระบบพลังงาน บริษัทที่เกี่ยวข้องจำเป็นต้องสร้างความยืดหยุ่นและความปลอดภัยเข้าไปในทุกระดับของโซลูชัน IoT ตั้งแต่เริ่มต้น
โดยมีแนวทางปฏิบัติที่สำคัญดังนี้
- การออกแบบเพื่อความซ้ำซ้อน (Redundancy): สร้างระบบเครือข่ายที่ไม่มีจุดล้มเหลวเพียงจุดเดียว (Single Point of Failure) และมีระบบสลับการทำงานอัตโนมัติ (Automated Failover) เพื่อให้ระบบทำงานต่อเนื่องได้แม้เกิดเหตุขัดข้อง
- ความปลอดภัยที่ครอบคลุม (Comprehensive Security): นำมาตรการรักษาความปลอดภัยหลายชั้นมาใช้ เช่น การยืนยันตัวตนหลายปัจจัย (MFA), การเข้ารหัสข้อมูล, การแบ่งส่วนเครือข่าย และการตรวจจับภัยคุกคามที่ขับเคลื่อนด้วย AI
- การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance): ใช้ระบบ AI วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อคาดการณ์ความล้มเหลวของอุปกรณ์และระบุข้อบกพร่องได้ก่อนที่จะเกิดปัญหาร้ายแรง
- การวางแผนฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ (Disaster Recovery): จัดทำแผนสำรองข้อมูลและทดสอบขั้นตอนการกู้คืนระบบอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้พร้อมรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้อย่างรวดเร็ว
ความยืดหยุ่นของ IoT คืออนาคตของพลังงาน
IoT ได้กลายเป็นเทคโนโลยีที่ขาดไม่ได้สำหรับการสร้างระบบนิเวศพลังงานแห่งอนาคต แต่ทุกการเชื่อมต่อที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน
วิธีเดียวที่จะลดความเสี่ยงและสร้างความมั่นคงให้กับโครงสร้างพื้นฐานพลังงานสมัยใหม่ คือการสร้างความยืดหยุ่นและความปลอดภัยให้เป็นหัวใจสำคัญในทุกระดับของสถาปัตยกรรม IoT
เพราะความเสถียรของเครือข่ายพลังงาน และความไว้วางใจของประชาชนและภาคธุรกิจนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งนี้โดยตรง


