6 Man-Made Destinations สุดหรูของโลก เมื่อมนุษย์สร้างความฝันให้เป็นจริง
สำรวจ 6 สุดยอด Man-Made Destination หรูระดับโลก จาก NEOM และ Dubai ถึง Marina Bay Sands และ French Riviera สัญลักษณ์แห่ง Luxury Tourism
KEY
POINTS
- โครงการยักษ์ใหญ่ (Megaprojects) ในตะวันออกกลาง โดยเฉพาะซาอุดีอาระเบีย (เช่น Sindalah, The Red Sea Project) กำลังสร้างนิยามใหม่ของความหรูหรา ด้วยการเนรมิตเมืองและเกาะแห่งอนาคตขึ้นจากความว่างเปล่า เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์และกระตุ้นเศรษฐกิจ
- เมืองที่เป็นต้นแบบความสำเร็จ เช่น ดูไบ, สิงคโปร์ (Marina Bay Sands), และลาสเวกัส พิสูจน์ให้เห็นว่าการสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นสัญลักษณ์และศูนย์รวมความบันเทิงครบวงจร สามารถเปลี่ยนพื้นที่ธรรมดาให้กลายเป็นมหานครแห่งความฝันและดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้
- จุดหมายปลายทางบางแห่งไม่ได้สร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการลงทุนพัฒนาระยะยาวของมนุษย์ในพื้นที่ที่มีธรรมชาติสวยงาม เช่น ทะเลสาบโคโมและโกตดาซูร์ในยุโรป ซึ่งผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิกเข้ากับไลฟ์สไตล์หรูหราจนกลายเป็นสัญลักษณ์ที่เหนือกาลเวลา
โลกของการท่องเที่ยวในศตวรรษที่ 21 ไม่ได้หยุดอยู่แค่การชื่นชมธรรมชาติหรือมรดกทางวัฒนธรรมเท่านั้น แต่ได้ก้าวสู่การสร้าง “จุดหมายปลายทาง” (Destination) ที่ถูกออกแบบและเนรมิตขึ้นด้วยมือมนุษย์ให้กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความหรูหราอลังการ ทั้งเพื่อดึงดูดนักเดินทางระดับไฮเอนด์ กระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างความประทับใจที่เหนือกว่าประสบการณ์ธรรมดา บทความนี้จะพาไปรู้จัก 6 Man-Made Destination สุดหรูที่ถูกจัดอันดับว่าเป็นที่สุดของโลกในปัจจุบัน ไปเริ่มกันเลย..
1.Sindalah – อัญมณีแห่ง Neom, ซาอุดีอาระเบีย
Sindalah เป็นเกาะมนุษย์สร้างขึ้นที่อยู่ในโปรเจกต์ยักษ์ Neom ซึ่งรัฐบาลซาอุดีอาระเบียลงทุนกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาเมืองแห่งอนาคต ภายใต้แนวคิด Smart & Sustainable Living โดย Sindalah ถูกออกแบบให้เป็น “Luxury Island” ที่รวมความหรูหราทุกมิติไว้ในที่เดียว ตั้งแต่มารีนาสำหรับเรือยอชต์ขนาดใหญ่กว่า 80 ช่องจอด สนามกอล์ฟที่ออกแบบโดยมืออาชีพระดับโลก ไปจนถึงสปอร์ตคลับ สปาสุดหรู และร้านอาหารโดยเชฟมิชลิน
เกาะนี้ยังเป็นบ้านของเครือโรงแรมหรู เช่น Four Seasons และ Marriott Autograph Collection ที่เตรียมเปิดให้บริการในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ความโดดเด่นอยู่ที่การออกแบบผสมผสานสถาปัตยกรรมโมเดิร์นกับเส้นสายที่สะท้อนวัฒนธรรมอาหรับ สร้างบรรยากาศแห่ง “ความฝันในทะเลทราย” และทำให้ Sindalah กลายเป็นหนึ่งในจุดหมายที่เหล่านักเดินทางซูเปอร์ริชทั่วโลกจับตามอง
ทั้งนี้ โครงการ Sindalah ถือเป็น “เกาะแห่งความฝัน” ที่เป็นส่วนหนึ่งของ megaproject ขนาดยักษ์ NEOM ซึ่งมีงบลงทุนเกิน 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ โดย NEOM อาจมีมูลค่าจากการประเมินภายในสูงสุดถึง 8.8–9 ล้านล้านดอลลาร์ และอาจใช้เวลากว่า 50 ปีจึงจะแล้วเสร็จ สำหรับ Sindalah เอง แม้ข้อมูลมูลค่าโดยตรงยังไม่เปิดเผยโดยละเอียด แต่มีรายงานว่าจากที่มีการคาดการณ์ตอนแรกว่าโครงการแรกของ Sindalah มีราคาเพียง 1.3 พันล้านดอลลาร์ แต่กลับ “บานปลาย” เกือบถึง 4 พันล้านดอลลาร์ โครงการเปิดตัวเมื่อ 27 ตุลาคม 2024 ในงานฉลองสุดหรูที่มีซูเปอร์ยอชต์รวม 65 ลำ และมีค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 45 ล้านดอลลาร์ของงานเปิด
Sindalah ยังได้รับการออกแบบโดยเน้นความหรูหรา ทั้งมารีนาสำหรับเรือยอชต์ สปา สปอร์ตกอล์ฟ และสถาปัตยกรรมโมเดิร์นที่ผสมกลิ่นอายอาหรับ กลายเป็นจุดหมายที่รวมความหรูหราคลาสสิกไว้ครบ จึงเป็น "gateway" สู่โลกของ Neom ที่นักท่องเที่ยวระดับเวิลด์คลาสจับตามอง
Sindalah ตั้งเป้าว่าจะมีผู้เยี่ยมชม 2,400 คนต่อวัน เมื่อโครงการแล้วเสร็จในปี 2028 ซึ่งเทียบได้กับเกือบ 876,000 คนต่อปี ช่วยสะท้อนภาพของเกาะหรูที่พร้อมรองรับนักท่องเที่ยวระดับไฮเอนด์ได้อย่างเหมาะสม
2.The Red Sea Project สวรรค์แห่งการพักผ่อนใหม่บนชายฝั่งทะเลแดง
อีกหนึ่งโปรเจกต์เรือธงของซาอุดีอาระเบีย มูลค่ากว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คือ The Red Sea Project โครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 28,000 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วยเกาะ 22 เกาะและพื้นที่ชายฝั่งอีก 6 แห่ง จุดหมายของโครงการคือการสร้างรีสอร์ทและโรงแรมหรูระดับเวิลด์คลาสมากถึง 50 แห่ง รวมกว่า 8,000 ห้องพัก พร้อมที่พักตากอากาศส่วนตัวกว่า 1,000 ยูนิต
โครงการ The Red Sea Project มีมูลค่าเบื้องต้นราว 17,000 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนเพิ่มเติมอีกกว่า 27,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
หนึ่งในไฮไลต์คือโรงแรม Nujuma, Ritz-Carlton Reserve ที่เปิดแล้วในปี 2024 วิลล่ากลางทะเลที่ออกแบบโดย Foster + Partners เน้นความยั่งยืน ใช้พลังงานสะอาด และอนุรักษ์แนวปะการัง นับเป็นตัวอย่างของการสร้าง Luxury Destination ที่เชื่อมโยงกับ Sustainable Tourism ทำให้ The Red Sea Project ไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายหรูหรา แต่ยังเป็นต้นแบบของการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ระดับโลก
เป้าหมายของโครงการ Red Sea Global คือการจำกัดผู้เยี่ยมชมที่ 1 ล้านคนต่อปี เมื่อโครงการเริ่มดำเนินการเต็มรูปแบบ นี่คือข้อพิสูจน์ว่าโครงการเน้นการท่องเที่ยวหรูควบคู่กับการรักษาความยั่งยืนและความสมบูรณ์ของธรรมชาติ
3.ดูไบ เมืองแห่งตึกระฟ้าและชีวิตหรูหราที่ไม่มีวันหลับ
พูดถึง Man-Made Destination แล้วจะไม่พูดถึงดูไบคงเป็นไปไม่ได้ เมืองที่ครั้งหนึ่งเป็นเพียงชุมชนกลางทะเลทราย ปัจจุบันได้กลายเป็นมหานครแห่งความฝัน ด้วยการลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐานและอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก มูลค่าโครงการพัฒนาเมืองรวมหลายแสนล้านดอลลาร์
สัญลักษณ์ของความอลังการคือ Burj Khalifa ตึกสูงที่สุดในโลกที่สูงกว่า 828 เมตร พร้อมกับ Dubai Fountain น้ำพุเต้นระบำพร้อมแสงสีเสียงที่ใหญ่ที่สุดในโลก และโครงการเกาะเทียมอย่าง Palm Jumeirah ที่เป็นไอคอนด้านการออกแบบระดับโลก
ความหรูหราของดูไบยังสะท้อนผ่านการช้อปปิ้งใน Dubai Mall ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การใช้ชีวิตท่ามกลางรถซุปเปอร์คาร์และร้านอาหารมิชลิน รวมไปถึงโรงแรมระดับเจ็ดดาวอย่าง Burj Al Arab ที่มอบประสบการณ์ “เหนือกว่าหรูหรา” ทำให้ดูไบกลายเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต
ในปี 2024 ดูไบต้อนรับนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศถึง 18.72 ล้านคน เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า
4.ทะเลสาบโคโม & Côte d’Azur หรูหราด้วยเสน่ห์ยุโรป
ในยุโรป หากกล่าวถึงจุดหมายสุดหรูที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อการพักผ่อน คงต้องยกให้ Lake Como ของอิตาลี และ Côte d’Azur (French Riviera) ของฝรั่งเศส ทั้งสองแห่งนี้เต็มไปด้วยวิลล่าและรีสอร์ทที่ผสมผสานสถาปัตยกรรมคลาสสิกเข้ากับความโมเดิร์น
ทะเลสาบโคโมขึ้นชื่อเรื่องวิลล่าหรูริมทะเลสาบ ที่รายล้อมด้วยทิวเขาแอลป์และสวนสวย เป็นที่พักผ่อนยอดนิยมของคนดังฮอลลีวูดและเศรษฐีระดับโลก ขณะที่ Côte d’Azur ก็เป็นแหล่งรวมรีสอร์ทหรู เมืองตากอากาศสุดชิคอย่าง Cannes และ Monaco ที่เต็มไปด้วยคาสิโน ท่าจอดเรือยอชต์ และเทศกาลภาพยนตร์ที่คนดังทั่วโลกมารวมตัวกันทุกปี
แม้มูลค่าโครงการเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างใหม่แบบดูไบหรือ Neom แต่การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์และการพัฒนาโครงสร้างหรูหราตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ทำให้สองพื้นที่นี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของ “Luxury Lifestyle” ที่คลาสสิกและเหนือกาลเวลา
ในปี 2018 Lake Como มีนักท่องเที่ยวมาเยือนประมาณ 1.37 ล้านคนต่อปี ส่วน Côte d’Azur (French Riviera) มีนักท่องเที่ยวเยือนประมาณ 11.5 ล้านคนต่อปี และสร้างยอดค้างคืน (overnight stays) ได้ถึง 70 ล้านคืน
5.Marina Bay Sands (สิงคโปร์) Luxury Resort ที่แพงที่สุดในโลก
โครงการนี้เปิดครั้งแรกในปี 2010 ด้วยมูลค่าการก่อสร้างราว 6.88 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จัดว่าเป็นรีสอร์ทแบบ Integrated Resort (IR) หรือ รีสอร์ตครอบวงจรที่แพงที่สุดเมื่อเปิดตัว
Marina Bay Sands ไม่เพียงแต่เป็นรีสอร์ทครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย แต่ยังเป็น แลนด์มาร์กที่เปลี่ยนภาพลักษณ์ของสิงคโปร์ ไปอย่างสิ้นเชิง โครงการนี้ประกอบด้วยโรงแรมสูง 3 อาคารที่เชื่อมกันด้วย SkyPark ซึ่งมีความยาวกว่า 340 เมตร และมีสระว่ายน้ำอินฟินิตี้ที่ถูกจัดว่าเป็น สระว่ายน้ำบนดาดฟ้าที่สวยที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีห้องพักกว่า 1,850 ห้อง คาสิโนขนาดใหญ่ พิพิธภัณฑ์ ArtScience ศูนย์ประชุมขนาดยักษ์ และโรงละครที่จัดโชว์ระดับโลก ปัจจุบันกำลังลงทุนขยายอีก 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2031 เพื่อเพิ่มหอคอยโรงแรมใหม่และสิ่งอำนวยความสะดวกสุดหรู ความสำเร็จของ Marina Bay Sands ทำให้สิงคโปร์ถูกยกระดับเป็น ศูนย์กลางการท่องเที่ยวและธุรกิจหรูแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Marina Bay Sands มีผู้เยี่ยมชมเฉลี่ยกว่า 38 ล้านคนในปี 2024 และตั้งแต่เปิดให้บริการในปี 2010 ก็มีนักท่องเที่ยวสะสมรวมมากกว่า 500 ล้านคน รวมทุกกิจกรรมตั้งแต่การเข้าพัก งานอีเวนต์ การชมสถาปัตยกรรม ฯลฯ
6. Las Vegas Strip เมืองบันเทิงระดับโลก
Las Vegas Strip อาจไม่ได้เป็นโครงการเดียว แต่คือการรวมตัวของโรงแรม คาสิโน และรีสอร์ทหรูมากกว่า 30 แห่ง ที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ลาสเวกัสเป็น เมืองแห่งความบันเทิงตลอดกาล รีสอร์ทแต่ละแห่งใช้งบมหาศาล เช่น The Venetian & Palazzo (1.8 พันล้านดอลลาร์), Bellagio (1.6 พันล้านดอลลาร์) และ Resorts World Las Vegas ที่เปิดในปี 2021 ด้วยงบสูงถึง 4.3 พันล้านดอลลาร์ ความอลังการของ Las Vegas Strip ไม่ได้อยู่ที่คาสิโนเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงโชว์ระดับ Broadway, คอนเสิร์ตจากศิลปินชื่อดังโลก, ร้านอาหาร Michelin Star และการออกแบบโรงแรมที่เลียนแบบเมืองสำคัญ ๆ เช่น ปารีส เวนิส และนิวยอร์ก ทำให้ Strip เป็นทั้ง สวนสนุกสำหรับผู้ใหญ่ และ สัญลักษณ์วัฒนธรรมป๊อประดับโลก ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 40 ล้านคนต่อปี
Las Vegas Strip ยังคงเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในสหรัฐฯ ด้วยจำนวนถึง ประมาณ 42 ล้านคนต่อปี ในปี 2024 ที่ผ่านมา และที่นี่คือศูนย์รวมความบันเทิงหรูที่ไม่มีวันหมดผู้เข้าชม
อ้างอิง:
https://www.arabnews.com/
https://www.ndtv.com/
https://www.wsj.com/
https://www.newsweek.com/


