ปตท. กับบทบาทสำคัญในโครงการ CCS สู่พลังงานสะอาดและยั่งยืน
ปตท. เดินหน้าพัฒนาโครงการ CCS ดักจับและกักเก็บ CO₂ ลดก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรม พลังงานสะอาด สู่อนาคต Net Zero อย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- ปตท. ใช้เทคโนโลยี CCS เป็นยุทธศาสตร์หลักในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050
- กำลังพัฒนาโครงการนำร่องและ CCS Hub Model ในพื้นที่ระยองและชลบุรี เพื่อเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยีนี้ในระดับประเทศ
- สร้างความร่วมมือกับทุกภาคส่วนเพื่อสร้างระบบนิเวศ CCS ที่ยั่งยืน ผลักดันไทยสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)
ลองจินตนาการดูว่า โลกของเรามีชั้นบรรยากาศห่อหุ้มไว้เหมือนกับ ผ้าห่มผืนบาง ๆที่ปล่อยให้แสงอาทิตย์ส่องผ่านเข้ามาให้ความอบอุ่นแก่ผิวโลก และทำหน้าที่ "ดูดซับ" และ "สะท้อน" รังสีความร้อนบางส่วนที่โลกคายออกมา ให้กลับมายังผิวโลกอีกครั้ง แต่ภายในผ้าห่มผืนนี้กำลังมี ก๊าซเรือนกระจก อย่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากจากโรงงาน ไฟฟ้า รถยนต์ และกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ที่จะดูดซับรังสีความร้อนบางส่วนที่โลกคายออกไปมากขึ้น ทำให้ความร้อนสะสมอยู่ในชั้นบรรยากาศมากขึ้นเรื่อย ๆ
หลายคนอาจคิดว่า ทางแก้ง่าย ๆ คือการลดการใช้พลังงานจากฟอสซิล หันไปใช้พลังงานหมุนเวียน หรือปลูกต้นไม้เพิ่ม แต่มันไม่ง่ายขนาดนั้น เพราะบางอุตสาหกรรม เช่น โรงกลั่น ปูนซีเมนต์ หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน ยังคงจำเป็นในช่วงเปลี่ยนผ่าน พวกเขาจึงต้องหาทาง “จัดการ” กับคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยออกมาให้ได้อย่างชาญฉลาด — นี่แหละที่เทคโนโลยี CCS หรือ Carbon Capture and Storage เข้ามามีบทบาทสำคัญ
จะให้นึกภาพง่าย ๆ CCS ก็เหมือนเครื่องดูดฝุ่นในบ้านที่ไม่ได้แค่ดูดฝุ่นทิ้งไปเฉย ๆ แต่ยังเอาไปเก็บไว้อย่างปลอดภัยในห้องลับใต้ดิน ไม่ให้ฟุ้งกลับออกมาอีก ระบบนี้มี 3 ขั้นตอนหลัก
หนึ่ง ดักจับคาร์บอนไดออกไซด์จากแหล่งกำเนิดในภาคอุตสาหกรรมหรือโรงไฟฟ้า
สอง ขนส่งไปยังแหล่งกักเก็บ
และสาม กักเก็บลงไปใต้ดินลึก ๆ ในชั้นหินทางธรณีวิทยาไว้อย่างปลอดภัย เหมือนการฝังของเสียให้อยู่ในหีบเหล็กแล้วล็อกกุญแจทิ้งกุญแจไปเลย
ตัวอย่างเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อให้เห็นภาพชัดๆ
เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture) คือหนึ่งในอาวุธสำคัญที่โลกนำมาใช้ต่อสู้กับวิกฤตโลกร้อน โดยหลักการคือการแยก CO₂ ออกจากกระบวนการผลิตพลังงานหรืออุตสาหกรรม ก่อนที่จะถูกปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ หรือแม้แต่ดึงออกจากอากาศโดยตรง (Direct Air Capture: DAC) โดยการดักจับจากแหล่งกำเนิดสามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนเผาไหม้ (Pre-combustion), หลังเผาไหม้ (Post-combustion) และการเผาไหม้ด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์ (Oxy-fuel combustion) ซึ่งแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดต่างกันตามประเภทของโรงงานและระดับความเข้มข้นของ CO₂
แม้เทคโนโลยี Direct Air Capture จะมีต้นทุนสูง เนื่องจาก CO₂ ในอากาศมีเพียง 0.04% แต่ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจากบริษัทเทคโนโลยีและการเงินชั้นนำ เช่น Stripe และ J.P. Morgan เพราะสามารถสร้าง “Negative Emission” หรือการลดคาร์บอนสุทธิให้ต่ำกว่าศูนย์ได้ ขณะเดียวกัน ทั่วโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการดักจับแบบ Post-combustion มากขึ้น เนื่องจากอุตสาหกรรมที่ลดคาร์บอนยาก (Hard-to-abate sectors) เช่น เหล็ก ปูนซีเมนต์ หรือเคมีภัณฑ์ มีความจำเป็นต้องใช้โซลูชันนี้
ในด้านเทคโนโลยี บริษัทชั้นนำกำลังพัฒนา Amine Solvent ให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น และยังมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เช่น Solid Sorbents, Membrane, Cryogenic และ Electrochemical ที่ออกแบบให้เป็นระบบโมดูลาร์ (Modular) ใช้พื้นที่น้อย ติดตั้งง่าย และช่วยลดต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต
แล้วการกักเก็บล่ะ?
การกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂ Storage) เป็นขั้นตอนสำคัญของระบบ CCS ที่ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในระยะยาว โดยคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ถูกดักจับจะถูกขนส่งและฉีดลงใต้ดินในแหล่งกักเก็บทางธรณีวิทยาที่เหมาะสม
ปัจจุบันโลกยังมีโครงการที่ดำเนินการอยู่และอยู่ระหว่างการพัฒนาเพียงราว 400 ล้านตัน CO₂ ต่อปี แต่ความต้องการใช้ CCS ในอนาคตอาจสูงถึง 4,000 ล้านตันต่อปี จึงต้องเร่งพัฒนาเทคโนโลยีและโครงการใหม่ ๆ ทั่วโลก โดยแหล่งกักเก็บหลักคือ “ชั้นหินอุ้มน้ำเค็ม” (Deep Saline Aquifers) ซึ่งมีศักยภาพสูงถึง 1,000 ล้านตันต่อแหล่ง แต่ต้องลงทุนด้านการสำรวจและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างเข้มงวด
ส่วนวิธี “การอัดฉีด CO₂ เพื่อเพิ่มการผลิตน้ำมัน” (Enhanced Oil Recovery หรือ EOR) เป็นกระบวนการฉีดคาร์บอนไดออกไซด์ลงในแหล่งผลิตน้ำมันที่มีปริมาณคงเหลือต่ำ เพื่อเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมัน และกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์พร้อมกัน ซึ่งมีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ในปัจจุบันถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยผู้ผลิตปิโตรเลียม
ขณะที่ “แหล่งกักเก็บก๊าซธรรมชาติและน้ำมันที่หมดแล้ว” (Depleted Oil & Gas Reservoirs) ก็เป็นทางเลือกที่ต้นทุนต่ำ เพราะสามารถใช้โครงสร้างพื้นฐานเดิมบางส่วนได้ แม้ศักยภาพจะต่ำกว่าชั้นหินอุ้มน้ำเค็มก็ตาม อย่างไรก็ตาม ลักษณะทางธรณีวิทยาของแต่ละพื้นที่ในโลกแตกต่างกัน จึงต้องมีการศึกษาความเหมาะสมอย่างละเอียดก่อนดำเนินการจริง เพื่อให้มั่นใจว่าคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกักเก็บอย่างปลอดภัยและยั่งยืนในระยะยาว
"ปัจจุบันมีโครงการ CCS ที่ดำเนินการอยู่ราว 50 แห่งทั่วโลก โดยเฉพาะในอเมริกา”
หลายประเทศเริ่มใช้เทคโนโลยีนี้อย่างจริงจัง เช่น นอร์เวย์ที่มีโครงการ CCS นอกชายฝั่งหรือสหรัฐฯ ที่จับก๊าซจากแหล่งอุตสาหกรรมแล้วฉีดเก็บไว้ใต้ดิน ประเทศเหล่านี้ไม่ได้แค่ลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ แต่ยังใช้ CCS เป็นเครื่องมือเสริมยุทธศาสตร์ Net Zero อย่างชาญฉลาด
สำหรับประเทศไทย แม้จะยังไม่ใช่เรื่องใกล้ตัวของคนทั่วไป แต่ก็มีการพูดถึง CCS กันมากขึ้นในแวดวงพลังงานและอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มที่หลีกเลี่ยงการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ยาก เช่น โรงกลั่นน้ำมันและปิโตรเคมี บริษัทพลังงานขนาดใหญ่บางแห่งเริ่มศึกษาเทคโนโลยี CCS โดยมองว่ามันไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ทางรอด” ในยุคที่ทั้งโลกกำลังแข่งกันลดคาร์บอนไดออกไซด์
ในตอนที่เรายังเดินไม่ถึงจุดที่ใช้พลังงานสะอาดได้ 100% CCS อาจไม่ใช่พระเอกของเรื่อง แต่มันก็เหมือนหน่วยกู้ภัยที่มาช่วยประคองไม่ให้เราพังเสียก่อนที่จะถึงเส้นชัยของ Net Zero
กลุ่ม ปตท. กับบทบาทผู้นำด้านพลังงานในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของโลกที่มุ่งหน้าสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net zero emissions) อุตสาหกรรมพลังงานของไทยย่อมไม่อาจนิ่งเฉย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม ปตท. (PTT Group) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ที่มีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจและพลังงานของประเทศ ได้ประกาศวิสัยทัศน์ชัดเจนในการขับเคลื่อนสู่ “องค์กรพลังงานแห่งอนาคต” (Future Energy & Beyond) และตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ท้าทายที่สุดในระดับอุตสาหกรรม
หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่ ปตท. ดำเนินการอย่างจริงจังคือการลงทุนศึกษาโครงการ ดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage – CCS) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีหลักที่สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากแหล่งกำเนิดหลักอย่างโรงงานและภาคอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
CCS โครงการนำร่องในภาคอุตสาหกรรมพลังงานของไทย
CCS ไม่ใช่เรื่องใหม่ในระดับโลก แต่ในบริบทของไทย การนำเทคโนโลยีนี้มาใช้ในเชิงพาณิชย์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ซึ่งกลุ่ม ปตท. กำลังเดินหน้าศึกษาและพัฒนาโครงการนำร่องอย่างจริงจัง ครอบคลุมการศึกษาโครงสร้างต้นทุนที่เหมาะสม ความคุ้มค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ และความสามารถในการแข่งขันของ กลุ่ม ปตท. รวมถึงการพัฒนา CCS Hub Model เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดำเนินธุรกิจ ในพื้นที่ระยองและชลบุรี ซึ่งจะเป็นต้นแบบสำคัญในการขยายผลเทคโนโลยี CCS ในระดับประเทศในอนาคต ควบคู่กับการหารือร่วมกับภาครัฐเพื่อกำหนดแนวทางส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนที่เกี่ยวข้อง เพื่อผลักดันเทคโนโลยีนี้ให้เกิดการใช้งานจริงในประเทศไทย
ทั้งนี้เทคโนโลยี CCS จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันองค์กรและประเทศให้ก้าวสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ตอกย้ำพันธกิจของ กลุ่ม ปตท. ในการเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงาน และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความยั่งยืนในระดับสากล
โครงการเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดการปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากภาคอุตสาหกรรม แต่ยังสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน CCS ให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการเปลี่ยนผ่านสู่ Green Economy ในอนาคต
การสร้างระบบนิเวศ CCS และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ความท้าทายของ CCS ไม่ได้อยู่แค่ในระดับเทคโนโลยี แต่ยังรวมถึง ต้นทุนที่สูง, การกำกับดูแลภาครัฐ, และ การยอมรับจากภาคประชาสังคม ด้วย กลุ่มปตท. จึงพยายามสร้างความร่วมมือทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการใช้ CCS อย่างยั่งยืน
ภายใต้ความร่วมมือเหล่านี้ ยังมีเป้าหมายในการส่งเสริมการบริหารจัดการคาร์บอนของประเทศไทยในอนาคต รองรับทั้งเทคโนโลยี CCS, CCUS (Carbon Capture, Utilization and Storage), การค้าคาร์บอนเครดิต และนวัตกรรมอื่น ๆ
บทบาทของ กลุ่มปตท. และโครงการ CCS ไม่เพียงเกี่ยวข้องกับภาคพลังงานเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศในภาพรวม เช่น
SDG 7 (Affordable and Clean Energy)
SDG 9 (Industry, Innovation and Infrastructure)
SDG 13 (Climate Action)
การลงทุนด้าน CCS ถือเป็นกลไกสำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทย และช่วยผลักดันให้ไทยบรรลุเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ


