พรบ.ลดโลกร้อน ฉบับแรกของไทย กลไกสำคัญรับมือวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
กฎหมายฉบับแรกของไทยในการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ใกล้เข้าสู่ ครม. หลังรวบรวมความเห็นจาก 30 หน่วยงาน หัวใจสำคัญคือการตั้ง ‘กองทุนภูมิอากาศ’ หนุนลดคาร์บอน!
KEY
POINTS
- "พรบ.ลดโลกร้อน" เป็นกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของไทย ที่จะทำหน้าที่สร้างกรอบทางกฎหมายเพื่อบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065
- สาระสำคัญของกฎหมายครอบคลุม 3 มิติหลัก คือ 1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) การปรับตัวรับมือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 3) การส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
- นำเสนอกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง เช่น การกำหนดราคาคาร์บอน (Carbon Pricing) ตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” และการจัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" เพื่อสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยกำลังเดินทางเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อครั้งสำคัญของการต่อสู้กับโลกร้อน เมื่อร่าง พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า “พรบ.ลดโลกร้อน” กำลังใกล้คลอดเต็มที หลังจากที่ใช้เวลาเกือบ 5 ปีในการร่าง พิจารณา และรับฟังความคิดเห็น หากนับตั้งแต่ปี 2564 (2021) ในยุคนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชาที่ได้แสดงเจตนารมย์ว่าไทยจะมุ่งสู่ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero ภายในปี 2065 ซึ่งเป็นแรงผลักดันให้เริ่มมีกฎหมายออกมารองรับ
ล่าสุดเอกสารฉบับนี้อยู่ระหว่างการรอความเห็นชอบจากกว่า 30 หน่วยงานหลัก ก่อนจะถูกนำเสนอเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี ถือเป็นก้าวย่างสำคัญที่ประเทศไทยจะมีกรอบกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
แก่นหลักของพรบ.นี้มีอยู่ 3 มิติสำคัญ
มิติแรกคือการ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ด้วยเป้าหมายใหญ่คือการทำให้ประเทศไทยบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การควบคุมมาตรฐานอุตสาหกรรม การสนับสนุนพลังงานสะอาด และการปรับปรุงระบบขนส่ง
มิติที่สองคือ การปรับตัวต่อผลกระทบของโลกร้อน โดยการจัดทำแผนรับมือภัยพิบัติ เช่น น้ำท่วม ภัยแล้ง และพายุที่รุนแรงขึ้น
ส่วนมิติที่สามคือ การเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็นชุมชน ท้องถิ่น ภาคธุรกิจ หรือภาคประชาสังคม ให้เข้ามามีบทบาทในกระบวนการแก้ปัญหานี้ร่วมกัน
นอกจากนี้ พรบ.ยังวางกลไกสำคัญทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เช่น Carbon Pricing ที่ยึดหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” การตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" เพื่อสนับสนุนโครงการด้านสิ่งแวดล้อม และการเชื่อมโยงกับมาตรการสากลอย่าง CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) ของสหภาพยุโรป ซึ่งล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืน
หากมองย้อนกลับไป ไทม์ไลน์การพัฒนากฎหมายฉบับนี้ยาวนานไม่ใช่น้อย เริ่มต้นตั้งแต่ในปี พ.ศ. 2561 เมื่อรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้ "แผนการปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" ซึ่งกำหนดให้ต้องมีกฎหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ต่อมาสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ใช้เวลาหลายปีในการศึกษาและร่างกฎหมาย จนในที่สุดปี 2568 ก็ใกล้จะถูกเสนอเข้าครม. หากผ่านไปได้ จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินหน้าสู่เป้าหมาย “Net Zero” ของไทย
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ หลายชาติได้เดินหน้าเรื่องนี้ไปก่อนแล้ว เช่น สหราชอาณาจักร ที่มี Climate Change Act ตั้งแต่ปี 2008 ซึ่งเป็นกฎหมายสภาพภูมิอากาศฉบับแรกของโลก และกำหนดเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 หรือ เยอรมนี ที่ออกกฎหมาย Klimaschutzgesetz ปี 2019 กำหนดเป้าหมายลดก๊าซ 65% ภายในปี 2030 และ Net Zero ปี 2045 ขณะที่สเปน มี Climate Change and Energy Transition Law ปี 2021 ที่มุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำภายในปี 2050 ส่วนสวิตเซอร์แลนด์ ก็มี CO₂ Act ที่เก็บภาษีคาร์บอนและสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจมานานแล้ว และล่าสุดแอฟริกาใต้ ก็เพิ่งผ่าน Climate Change Act ในปี 2024 โดยเน้น “การเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม” เพื่อไม่ให้ใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
เรื่องราวทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า พรบ.ลดโลกร้อนไม่ใช่เพียงแค่เครื่องมือทางกฎหมาย แต่คือ “เข็มทิศ” ที่จะกำหนดเส้นทางของประเทศไทยในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากเดินหน้าได้จริง ประเทศไทยจะไม่เพียงแค่ตามทันกระแสโลก แต่ยังสามารถสร้างโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ พลังงาน และความยั่งยืนให้กับคนรุ่นต่อไป
สาระสำคัญของ "พรบ.ลดโลกร้อน"
พรบ. ลดโลกร้อนมีสาระเด่น 3 ด้านหลัก ๆ ได้แก่
- การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก — ประเทศตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ภายในปี พ.ศ. 2608 (ค.ศ. 2065) ผ่านมาตรการมาตรฐานภาคอุตสาหกรรม การสนับสนุนพลังงานสะอาด และระบบขนส่งสาธารณะ
- การปรับตัวต่อผลกระทบ — จัดทำแผนเตรียมพร้อมรับมือภัยจากสภาพภูมิอากาศ เช่น น้ำท่วม พายุ และภัยแล้ง
- การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน — ส่งเสริมบทบาทของประชาชน ภาคเอกชน ท้องถิ่น และภาคประชาสังคมในการร่วมขับเคลื่อนนโยบายอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ พรบ. ยังนำกลไกราคา Carbon Pricing ตามหลัก “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” , ระบบ กองทุนภูมิอากาศ, และ CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) เพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีสะอาดและนวัตกรรมด้านสิ่งแวดล้อม โดยกลไกพวกนี้จะช่วยเปลี่ยนแนวทางเศรษฐกิจและส่งเสริมการลงทุนอย่างยั่งยืน
"ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช" อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้อยู่ในช่วงโค้งสุดท้ายของการดำเนินการ และใกล้จะเข้าสู่ขั้นตอนการเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา
ปัจจุบัน สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำลังดำเนินการรวบรวมความคิดเห็นจาก กว่า 30 หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหลายหน่วยงานได้ตอบกลับมาแล้วบางส่วน และคาดว่าจะสามารถรวบรวมได้ครบถ้วนในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้ เมื่อรวบรวมความคิดเห็นครบ ร่าง พ.ร.บ. จะถูกเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. จากนั้นจะเข้าสู่กระบวนการของ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนจะส่งต่อให้ สภาผู้แทนราษฎร พิจารณาเพื่อออกเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ
ดร.พิรุณ กล่าวว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้จะเป็น "กลไกสำคัญ" ที่ช่วยให้ประเทศไทยรับมือกับ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้อย่างเป็นระบบ โดยหัวใจหลักของกฎหมายฉบับนี้คือการจัดตั้ง "กองทุนภูมิอากาศ" เพื่อเป็นแหล่งสนับสนุนด้านการเงินแก่กิจกรรมหรือโครงการที่เกี่ยวข้องกับ การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ และการขับเคลื่อนประเทศสู่ เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ
และพ.ร.บ.นี้จะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญที่ช่วยให้ทุกภาคส่วนของไทยสามารถรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้อย่างยั่งยืนและสมดุล ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
หมายเหตุ:
- ร่างกฎหมายฉบับนี้ถูกร่างขึ้นโดยอ้างอิงตามความตกลงปารีส (ปี 2016) และในเดือนมีนาคม 2567 (2024) ได้มีการประกาศร่างฉบับแรกของกฎหมาย และคาดว่าจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมิถุนายน 2567
- เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2567 (2024) กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นสาธารณะครั้งที่สองต่อร่างกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับแก้ไข
- ในเดือนธันวาคม 2567 (2024) ร่างกฎหมายดังกล่าวคาดว่าจะถูกเสนอต่อคณะรัฐมนตรีภายในเดือนมกราคม 2568 (2025)
ตัวอย่างกฎหมาย Climate Change จากประเทศต่าง ๆ
– สหราชอาณาจักร (UK):
Climate Change Act 2008 ตั้งเป้า “Net Zero” ภายในปี 2050 และกำหนดระบบ carbon budgeting พร้อมจัดตั้ง Committee on Climate Change เพื่อให้คำแนะนำแก่รัฐบาล
– เยอรมนี (Germany):
Federal Climate Change Action Act (Klimaschutzgesetz) ในปี ค.ศ. 2019 กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก 65% ภายใน 2030, 88% ภายใน 2040 และเป็น “net-zero” ภายใน 2045 พร้อมทั้งมีเป้าหมายรายภาคอุตสาหกรรมและระบบรายงาน หากเกินเป้าต้องจัดแผนแก้ทันที
– สเปน (Spain):
Climate Change and Energy Transition Law 2021 มุ่งสู่การเป็น Carbon Neutral ภายใน 2050 ลดก๊าซ 23% ภายใน 2030 และปรับระบบพลังงานสะอาด ร้อยละของพลังงานหมุนเวียนสูงขึ้น พร้อมกำหนดให้ปล่อยคาร์บอนต่ำ
– สวิตเซอร์แลนด์ (Switzerland):
CO₂ Act ในปี 2011 (มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 2013) โดยตั้งภาษีคาร์บอนและระบบซื้อขายใบอนุญาตปล่อยก๊าซ นอกจากนี้ได้ออกกฎหมายเสริมเรื่องเป้าหมาย Net-Zero ภายใน 2050
– แอฟริกาใต้ (South Africa):
Climate Change Act, 2024 เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 28 กุมภาพันธ์ 2025 กำหนดบทบาททั้งภาครัฐระดับชาติ ระดับจังหวัด และองค์กรท้องถิ่น อีกทั้งเน้นการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม (Just Transition) และให้แต่ละเทศบาลจัด แผนปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
อ้างอิง:
กรุงเทพธุรกิจ
wikipedia
www.senate.go.th
www.kasikornresearch.com


