posttoday

ส่องวิศวกรรมกำแพงป้องกันสึนามิญี่ปุ่น Grey+Green 395 กม. ปลูกป่า 9 ล้านต้น

17 สิงหาคม 2568

กำแพงป้องกันสึนามิ 395 กิโลเมตรและป่า 9 ล้านต้น เกราะป้องกันธรรมชาติและวิศวกรรมของญี่ปุ่น รับมือกับคลื่นยักษ์ได้อย่างไร

KEY

POINTS

  • ญี่ปุ่นทุ่มงบสร้างกำแพงคอนกรีตป้องกันสึนามิยาว 395 กม. สูงสุดเกือบ 15 เมตร เพื่อปกป้องแนวชายฝั่งหลังภัยพิบัติปี 2011
  • ควบคู่กับการสร้างกำแพง มีโครงการปลูกป่า "Great Forest Wall" กว่า 9 ล้านต้น เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศ
  • เป็นการป้องกันภัยแบบผสมผสานวิศวกรรมกับธรรมชาติ แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่ากำแพงบดบังทิวทัศน์และวิถีชีวิตชุมชน

เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โทโฮกุ แผ่นดินไหวและสึนามิ” ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของญี่ปุ่นและโลก ความรุนแรงของแผ่นดินไหวขนาด 9.0–9.1 แมกนิจูด ได้ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงสุดกว่า 40 เมตร ซัดเข้าฝั่งด้วยความเร็วสูงถึง 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คร่าชีวิตผู้คนกว่า 18,000 ราย และสร้างความเสียหายมหาศาลต่อบ้านเรือน เมืองท่า และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ญี่ปุ่นตระหนักว่า “มาตรการป้องกันภัยแบบเดิมไม่เพียงพอ” และจำเป็นต้องออกแบบเกราะป้องกันใหม่ที่ทั้งแข็งแกร่งและยั่งยืน

 

รัฐบาลญี่ปุ่นจึงทุ่มงบประมาณกว่า 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.35 ล้านล้านเยน เพื่อสร้าง “กำแพงป้องกันสึนามิ” ยาวกว่า 395 กิโลเมตร ครอบคลุมแนวชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นแนวหน้าเผชิญคลื่นโดยตรง ครอบคลุมจังหวัดอิวาเตะ มิยางิ และฟุกุชิมะ หลายพื้นที่แล้วเสร็จและเริ่มใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา (โครงการส่วนใหญ่เสร็จสมบูรณ์ในช่วง ปี 2020–2021)

 

กำแพงนี้บางช่วงสูงถึง 14.7 เมตร และมีฐานรากลึกถึง 25 เมตรเพื่อรองรับแรงปะทะของน้ำมหาศาล การออกแบบเน้นให้ผนังมีความหนาและลาดเอียงเพื่อกระจายแรงกระแทก และเชื่อมโยงกับระบบอพยพฉุกเฉินของท้องถิ่น เพื่อเพิ่มเวลาให้ผู้คนสามารถหนีภัยได้ทันเวลา

 

ภาพประกอบ (illustration) ที่อธิบายแนวคิดของแนวป่าและกำแพงควบคู่ ซึ่งช่วยให้เข้าใจองค์ประกอบของโครงการได้ง่ายในมุมมองเชิงสถาปัตยกรรมหรือแนวคิด

 

“Great Forest Wall” หรือ “แนวป่าเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติ” 9 ล้านต้น

อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่ได้ฝากความหวังไว้กับกำแพงคอนกรีตเพียงอย่างเดียว เพราะนักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมได้ชี้ว่าการป้องกันเชิงวิศวกรรมอย่างเดียวอาจสร้างปัญหาด้านภูมิทัศน์ ระบบนิเวศ และอาจไม่เพียงพอต่อสึนามิในระดับรุนแรงที่สุด รัฐบาลและชุมชนท้องถิ่นจึงร่วมกันพัฒนาโครงการ “Great Forest Wall” หรือ “แนวป่าเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติ” โดยปลูกต้นไม้พื้นถิ่นกว่า 9 ล้านต้น ตลอดแนวชายฝั่งและบนเนินดินที่สร้างขึ้นจากเศษซากอาคารหลังภัยพิบัติ ต้นไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นกำแพงธรรมชาติที่ช่วยดูดซับแรงคลื่นและลดการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความเขียวขจี และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นตัวของชุมชน

 

ภาพถ่ายแนวชายฝั่งที่เห็นทั้งกำแพงคอนกรีตและต้นไม้ที่ปลูกเรียงราย ครอบคลุมพื้นที่ริมทะเล เป็นภาพจริงที่ชัดเจนของแนวป้องกันแบบคู่ (grey + green)

 

โครงการแนวป่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยและแนวคิดของ ศาสตราจารย์อากิระ มิยาวากิ (Akira Miyawaki) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ ที่เน้นการปลูกพืชพื้นถิ่นหลากหลายชนิดอย่างหนาแน่นเพื่อสร้างป่าที่มีรากลึกและแข็งแรง สามารถยืนหยัดต้านลมและน้ำได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ป่าชายฝั่งที่เกิดขึ้นจึงไม่เพียงปกป้องผู้คนจากภัยธรรมชาติ แต่ยังเป็นมรดกทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง

 

แม้โครงการกำแพงและแนวป่าจะได้รับคำชื่นชมในแง่การผสมผสานระหว่าง “Grey Infrastructure” (โครงสร้างแข็ง) และ “Green Infrastructure” (โครงสร้างสีเขียว) แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำแพงคอนกรีตขนาดใหญ่บางส่วนบดบังทิวทัศน์ทะเลและทำให้ผู้คนรู้สึกถูกตัดขาดจากวิถีชีวิตชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม หลายชุมชนมองว่าความปลอดภัยและเวลาที่เพิ่มขึ้นในการอพยพคือสิ่งสำคัญที่สุด และการปลูกต้นไม้ควบคู่กับกำแพงก็ช่วยลดผลกระทบทางจิตใจและสังคมได้ไม่น้อย

 

สิ่งที่ญี่ปุ่นทำจึงไม่ใช่เพียงการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันสึนามิเท่านั้น แต่เป็นการสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันทางสังคม” ที่ผสมผสานความรู้ทางวิศวกรรมเข้ากับพลังของธรรมชาติ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศชายฝั่งทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น

 

เสียงจากชุมชนเมื่อต้องอยู่ร่วมกับกำแพงป้องกันสึนามิ

ในหลายเมืองชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์สึนามิปี 2011 รัฐบาลก็ได้เร่งก่อสร้างกำแพงคอนกรีตยาวหลายร้อยกิโลเมตร แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับโครงการนี้

 

หนึ่งในเสียงเหล่านั้นมาจาก คาสุโทชิ มุซาชิ (Kazutoshi Musashi) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองท่าโอซาเบะ (Osabe) เขาเล่าว่ากำแพงสูง 12.5 เมตรที่สร้างขึ้นทำให้เขา “มองไม่เห็นชายฝั่งเลย” และรู้สึกว่ามัน “เหมือนกำแพงเรือนจำ” มากกว่าจะเป็นที่มั่นคงของชุมชน

 

ในพื้นที่ โอคัตสึ (Ogatsu) ของจังหวัดมิยางิ ประชาชนโอดครวญว่าอัตวิสัยของพื้นที่สูญสิ้นไปเพราะกำแพงคอนกรีตขนาดมหึมา และสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เคยสวยงามได้ถูกบดบังลง ประวัติศาสตร์และทิวทัศน์อันงดงามซึ่งเคยมีเพียงแค่ความทรงจำ กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าถึงได้อีกต่อไป

 

หลายชุมชน เช่นพื้นที่ โคอิซุมิ (Koizumi) เคยเป็นชายหาดยอดนิยม แต่ถูกวางแผนให้สร้างกำแพงขนาดใหญ่ถึง 14.7 เมตร ความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะชาวบ้านมองว่า พื้นที่ที่เคยมีชีวิตชีวา กลับจะถูก “ทำลายทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด”

 

กำแพงทะเลที่ท่าเรือประมงโอซาเบะ ในจังหวัดอิวาเตะ (ภาพ: เอเอฟพี)

 

นอกจากนี้ยังมีกรณีใน ชุมชน Kerobe ที่จังหวัดอิวาเตะ ซึ่งชาวบ้านปฏิเสธไม่ให้สร้างกำแพงในบริเวณนี้แม้จะได้รับข้อเสนอจากทางรัฐบาลก็ตาม เพราะพวกเขาไม่ต้องการกำแพงที่ขวางทิวทัศน์ของทะเลในชีวิตประจำวัน

 

คำวิจารณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความคิดเห็นที่กว้างขวางว่า แม้กำแพงคอนกรีตสามารถให้ความมั่นคงเชิงโครงสร้าง แต่ก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจ สัมพันธภาพกับทะเล และวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของชุมชนชายฝั่งอย่างลึกซึ้ง

 

 

Timeline กำเนิดกำแพงป้องกันสึนามิญี่ปุ่น

2011 (มี.ค.)

เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ (Tohoku Earthquake and Tsunami)

รัฐบาลเริ่มวางแผนโครงสร้างป้องกันชายฝั่งใหม่

มีการหารือเรื่องงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้าง “กำแพงสึนามิ”

 

2012

เริ่มก่อสร้างกำแพงบางส่วนในจังหวัดอิวาเตะและมิยางิ

มีการร่างแบบมาตรฐานของกำแพง: สูงเฉลี่ย 12–14.7 เมตร ฐานลึกถึง 25 เมตร

 

2013–2014

การก่อสร้างเข้าสู่ระยะเต็มรูปแบบ ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุด

เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านเรื่องทิวทัศน์ทะเลที่ถูกบดบัง

 

2015–2016

ความยาวของกำแพงที่ก่อสร้างเสร็จแล้วรวมกว่า 200 กม.

โครงการ “Great Forest Wall” เริ่มต้น โดยปลูกต้นไม้พื้นถิ่นตามแนวชายฝั่ง

เป้าหมายคือปลูกให้ได้ 9 ล้านต้น เพื่อเป็นแนวป้องกันธรรมชาติ

 

2017

ส่วนใหญ่ของจังหวัดฟุกุชิมะและมิยางิเริ่มมีการใช้งานกำแพงจริง

ประชาชนบางพื้นที่เริ่มเห็นผลว่ากำแพงช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วมเล็กน้อยจากพายุ

 

2018

เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในหลายเมือง เช่น ริคุเซนทากาตะ (Rikuzentakata) และคามาอิชิ (Kamaishi)

กำแพงบางส่วนยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่เริ่มทำงานได้แล้ว

 

2019–2020

โครงการเข้าสู่ระยะสุดท้าย กำแพงกว่า 90% ของทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จ

ต้นไม้ที่ปลูกเริ่มเติบโตและเริ่มทำหน้าที่เสริมแนวป้องกันชายฝั่ง

 

2021

โครงการหลักเสร็จสิ้น กำแพงยาวรวม 395 กิโลเมตร ครอบคลุมชายฝั่ง 3 จังหวัด (อิวาเตะ มิยางิ ฟุกุชิมะ)

ญี่ปุ่นประกาศให้โครงสร้างนี้เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันสึนามิที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

2022–ปัจจุบัน

กำแพงถูกใช้งานเต็มรูปแบบ และอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรป้องกันภัยพิบัติท้องถิ่น

แนวป่าชายฝั่งยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ต้นไม้หลายล้านต้นเริ่มสร้างร่มเงาและระบบนิเวศใหม่

นักวิชาการและองค์การนานาชาตินำโครงการนี้ไปศึกษาเป็นโมเดลการจัดการภัยพิบัติแบบผสมผสาน (วิศวกรรม + ธรรมชาติ)

 


ที่มา:

The Guardian /The B1M

Mainichi Shimbun (The Mainichi) – Japan’s massive sea wall construction project after 2011 quake, tsunami

Asahi Shimbun

AP News – Japan builds giant sea walls to fend off tsunamis

 

ข่าวล่าสุด

บอลวันนี้ ดูบอลสด ถ่ายทอดสด โปรแกรมฟุตบอล วันจันทร์ที่ 15 ธ.ค. 68