ส่องวิศวกรรมกำแพงป้องกันสึนามิญี่ปุ่น Grey+Green 395 กม. ปลูกป่า 9 ล้านต้น
กำแพงป้องกันสึนามิ 395 กิโลเมตรและป่า 9 ล้านต้น เกราะป้องกันธรรมชาติและวิศวกรรมของญี่ปุ่น รับมือกับคลื่นยักษ์ได้อย่างไร
KEY
POINTS
- ญี่ปุ่นทุ่มงบสร้างกำแพงคอนกรีตป้องกันสึนามิยาว 395 กม. สูงสุดเกือบ 15 เมตร เพื่อปกป้องแนวชายฝั่งหลังภัยพิบัติปี 2011
- ควบคู่กับการสร้างกำแพง มีโครงการปลูกป่า "Great Forest Wall" กว่า 9 ล้านต้น เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันธรรมชาติและฟื้นฟูระบบนิเวศ
- เป็นการป้องกันภัยแบบผสมผสานวิศวกรรมกับธรรมชาติ แม้จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็มีเสียงวิจารณ์ว่ากำแพงบดบังทิวทัศน์และวิถีชีวิตชุมชน
เหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เมื่อวันที่ 11 มีนาคม ปี 2011 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “โทโฮกุ แผ่นดินไหวและสึนามิ” ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของญี่ปุ่นและโลก ความรุนแรงของแผ่นดินไหวขนาด 9.0–9.1 แมกนิจูด ได้ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิสูงสุดกว่า 40 เมตร ซัดเข้าฝั่งด้วยความเร็วสูงถึง 700 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คร่าชีวิตผู้คนกว่า 18,000 ราย และสร้างความเสียหายมหาศาลต่อบ้านเรือน เมืองท่า และโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ญี่ปุ่นตระหนักว่า “มาตรการป้องกันภัยแบบเดิมไม่เพียงพอ” และจำเป็นต้องออกแบบเกราะป้องกันใหม่ที่ทั้งแข็งแกร่งและยั่งยืน
รัฐบาลญี่ปุ่นจึงทุ่มงบประมาณกว่า 12 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 1.35 ล้านล้านเยน เพื่อสร้าง “กำแพงป้องกันสึนามิ” ยาวกว่า 395 กิโลเมตร ครอบคลุมแนวชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เป็นแนวหน้าเผชิญคลื่นโดยตรง ครอบคลุมจังหวัดอิวาเตะ มิยางิ และฟุกุชิมะ หลายพื้นที่แล้วเสร็จและเริ่มใช้งานจริงตั้งแต่ปี 2018 เป็นต้นมา (โครงการส่วนใหญ่เสร็จสมบูรณ์ในช่วง ปี 2020–2021)
กำแพงนี้บางช่วงสูงถึง 14.7 เมตร และมีฐานรากลึกถึง 25 เมตรเพื่อรองรับแรงปะทะของน้ำมหาศาล การออกแบบเน้นให้ผนังมีความหนาและลาดเอียงเพื่อกระจายแรงกระแทก และเชื่อมโยงกับระบบอพยพฉุกเฉินของท้องถิ่น เพื่อเพิ่มเวลาให้ผู้คนสามารถหนีภัยได้ทันเวลา
“Great Forest Wall” หรือ “แนวป่าเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติ” 9 ล้านต้น
อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นไม่ได้ฝากความหวังไว้กับกำแพงคอนกรีตเพียงอย่างเดียว เพราะนักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมได้ชี้ว่าการป้องกันเชิงวิศวกรรมอย่างเดียวอาจสร้างปัญหาด้านภูมิทัศน์ ระบบนิเวศ และอาจไม่เพียงพอต่อสึนามิในระดับรุนแรงที่สุด รัฐบาลและชุมชนท้องถิ่นจึงร่วมกันพัฒนาโครงการ “Great Forest Wall” หรือ “แนวป่าเพื่อป้องกันภัยธรรมชาติ” โดยปลูกต้นไม้พื้นถิ่นกว่า 9 ล้านต้น ตลอดแนวชายฝั่งและบนเนินดินที่สร้างขึ้นจากเศษซากอาคารหลังภัยพิบัติ ต้นไม้เหล่านี้ไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นกำแพงธรรมชาติที่ช่วยดูดซับแรงคลื่นและลดการกัดเซาะชายฝั่ง แต่ยังช่วยฟื้นฟูระบบนิเวศ เพิ่มความเขียวขจี และกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งการฟื้นตัวของชุมชน
โครงการแนวป่านี้ได้รับแรงบันดาลใจจากงานวิจัยและแนวคิดของ ศาสตราจารย์อากิระ มิยาวากิ (Akira Miyawaki) ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยาป่าไม้ ที่เน้นการปลูกพืชพื้นถิ่นหลากหลายชนิดอย่างหนาแน่นเพื่อสร้างป่าที่มีรากลึกและแข็งแรง สามารถยืนหยัดต้านลมและน้ำได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ป่าชายฝั่งที่เกิดขึ้นจึงไม่เพียงปกป้องผู้คนจากภัยธรรมชาติ แต่ยังเป็นมรดกทางสิ่งแวดล้อมที่ส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง
แม้โครงการกำแพงและแนวป่าจะได้รับคำชื่นชมในแง่การผสมผสานระหว่าง “Grey Infrastructure” (โครงสร้างแข็ง) และ “Green Infrastructure” (โครงสร้างสีเขียว) แต่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า กำแพงคอนกรีตขนาดใหญ่บางส่วนบดบังทิวทัศน์ทะเลและทำให้ผู้คนรู้สึกถูกตัดขาดจากวิถีชีวิตชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม หลายชุมชนมองว่าความปลอดภัยและเวลาที่เพิ่มขึ้นในการอพยพคือสิ่งสำคัญที่สุด และการปลูกต้นไม้ควบคู่กับกำแพงก็ช่วยลดผลกระทบทางจิตใจและสังคมได้ไม่น้อย
สิ่งที่ญี่ปุ่นทำจึงไม่ใช่เพียงการสร้างสิ่งก่อสร้างเพื่อป้องกันสึนามิเท่านั้น แต่เป็นการสร้าง “ระบบภูมิคุ้มกันทางสังคม” ที่ผสมผสานความรู้ทางวิศวกรรมเข้ากับพลังของธรรมชาติ และเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศชายฝั่งทั่วโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงมากขึ้น
เสียงจากชุมชนเมื่อต้องอยู่ร่วมกับกำแพงป้องกันสึนามิ
ในหลายเมืองชายฝั่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น หลังเหตุการณ์สึนามิปี 2011 รัฐบาลก็ได้เร่งก่อสร้างกำแพงคอนกรีตยาวหลายร้อยกิโลเมตร แต่ไม่ใช่ทุกคนที่เห็นด้วยกับโครงการนี้
หนึ่งในเสียงเหล่านั้นมาจาก คาสุโทชิ มุซาชิ (Kazutoshi Musashi) ซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองท่าโอซาเบะ (Osabe) เขาเล่าว่ากำแพงสูง 12.5 เมตรที่สร้างขึ้นทำให้เขา “มองไม่เห็นชายฝั่งเลย” และรู้สึกว่ามัน “เหมือนกำแพงเรือนจำ” มากกว่าจะเป็นที่มั่นคงของชุมชน
ในพื้นที่ โอคัตสึ (Ogatsu) ของจังหวัดมิยางิ ประชาชนโอดครวญว่าอัตวิสัยของพื้นที่สูญสิ้นไปเพราะกำแพงคอนกรีตขนาดมหึมา และสภาพแวดล้อมธรรมชาติที่เคยสวยงามได้ถูกบดบังลง ประวัติศาสตร์และทิวทัศน์อันงดงามซึ่งเคยมีเพียงแค่ความทรงจำ กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าถึงได้อีกต่อไป
หลายชุมชน เช่นพื้นที่ โคอิซุมิ (Koizumi) เคยเป็นชายหาดยอดนิยม แต่ถูกวางแผนให้สร้างกำแพงขนาดใหญ่ถึง 14.7 เมตร ความขัดแย้งเกิดขึ้น เพราะชาวบ้านมองว่า พื้นที่ที่เคยมีชีวิตชีวา กลับจะถูก “ทำลายทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุด”
นอกจากนี้ยังมีกรณีใน ชุมชน Kerobe ที่จังหวัดอิวาเตะ ซึ่งชาวบ้านปฏิเสธไม่ให้สร้างกำแพงในบริเวณนี้แม้จะได้รับข้อเสนอจากทางรัฐบาลก็ตาม เพราะพวกเขาไม่ต้องการกำแพงที่ขวางทิวทัศน์ของทะเลในชีวิตประจำวัน
คำวิจารณ์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของกระแสความคิดเห็นที่กว้างขวางว่า แม้กำแพงคอนกรีตสามารถให้ความมั่นคงเชิงโครงสร้าง แต่ก็สร้างผลกระทบต่อจิตใจ สัมพันธภาพกับทะเล และวัฒนธรรมการดำเนินชีวิตของชุมชนชายฝั่งอย่างลึกซึ้ง
Timeline กำเนิดกำแพงป้องกันสึนามิญี่ปุ่น
2011 (มี.ค.)
เกิดแผ่นดินไหวและสึนามิครั้งใหญ่ (Tohoku Earthquake and Tsunami)
รัฐบาลเริ่มวางแผนโครงสร้างป้องกันชายฝั่งใหม่
มีการหารือเรื่องงบประมาณมหาศาลเพื่อสร้าง “กำแพงสึนามิ”
2012
เริ่มก่อสร้างกำแพงบางส่วนในจังหวัดอิวาเตะและมิยางิ
มีการร่างแบบมาตรฐานของกำแพง: สูงเฉลี่ย 12–14.7 เมตร ฐานลึกถึง 25 เมตร
2013–2014
การก่อสร้างเข้าสู่ระยะเต็มรูปแบบ ครอบคลุมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายหนักที่สุด
เริ่มมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากชาวบ้านเรื่องทิวทัศน์ทะเลที่ถูกบดบัง
2015–2016
ความยาวของกำแพงที่ก่อสร้างเสร็จแล้วรวมกว่า 200 กม.
โครงการ “Great Forest Wall” เริ่มต้น โดยปลูกต้นไม้พื้นถิ่นตามแนวชายฝั่ง
เป้าหมายคือปลูกให้ได้ 9 ล้านต้น เพื่อเป็นแนวป้องกันธรรมชาติ
2017
ส่วนใหญ่ของจังหวัดฟุกุชิมะและมิยางิเริ่มมีการใช้งานกำแพงจริง
ประชาชนบางพื้นที่เริ่มเห็นผลว่ากำแพงช่วยลดความเสี่ยงน้ำท่วมเล็กน้อยจากพายุ
2018
เริ่มเปิดใช้งานอย่างเป็นทางการในหลายเมือง เช่น ริคุเซนทากาตะ (Rikuzentakata) และคามาอิชิ (Kamaishi)
กำแพงบางส่วนยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่เริ่มทำงานได้แล้ว
2019–2020
โครงการเข้าสู่ระยะสุดท้าย กำแพงกว่า 90% ของทั้งหมดก่อสร้างแล้วเสร็จ
ต้นไม้ที่ปลูกเริ่มเติบโตและเริ่มทำหน้าที่เสริมแนวป้องกันชายฝั่ง
2021
โครงการหลักเสร็จสิ้น กำแพงยาวรวม 395 กิโลเมตร ครอบคลุมชายฝั่ง 3 จังหวัด (อิวาเตะ มิยางิ ฟุกุชิมะ)
ญี่ปุ่นประกาศให้โครงสร้างนี้เป็นหนึ่งในมาตรการป้องกันสึนามิที่ใหญ่ที่สุดในโลก
2022–ปัจจุบัน
กำแพงถูกใช้งานเต็มรูปแบบ และอยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรป้องกันภัยพิบัติท้องถิ่น
แนวป่าชายฝั่งยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ต้นไม้หลายล้านต้นเริ่มสร้างร่มเงาและระบบนิเวศใหม่
นักวิชาการและองค์การนานาชาตินำโครงการนี้ไปศึกษาเป็นโมเดลการจัดการภัยพิบัติแบบผสมผสาน (วิศวกรรม + ธรรมชาติ)
ที่มา:
The Guardian /The B1M
Mainichi Shimbun (The Mainichi) – Japan’s massive sea wall construction project after 2011 quake, tsunami
Asahi Shimbun
AP News – Japan builds giant sea walls to fend off tsunamis


