เทค GIS พลิกเกมกู้ภัย แผ่นดินไหว-อาคารถล่ม ด้วยข้อมูลเรียลไทม์ยังไง?
โชว์เคสเทคโนโลยีกู้ภัยผ่าน ArcGIS ในงาน TUC 2025 โชว์ศักยภาพการบูรณาการข้อมูลและความร่วมมือข้ามพรมแดน รับมือเหตุแผ่นดินไหว-อาคารถล่มได้อย่างแม่นยำ ทำได้อย่างไร?
KEY
POINTS
- โชว์เคสเทคโนโลยี GIS หรือ ภูมิสารสนเทศ - การใช้แผนที่และข้อมูลในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อประเมินความเสียหายเหตุ "อาคารถล่ม" จากแผ่นดินไหว จัดลำดับความสำคัญในการช่วยเหลือ และวางแผนป้องกันความสูญเสียเพิ่มเติม
- ArcGIS เป็นแพลตฟอร์มกลาง หรือ "ภาษากลาง" ช่วยให้หน่วยงานกู้ภัยทั้งในและต่างประเทศเห็นข้อมูลเดียวกันแบบเรียลไทม์ ลดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสาร
- ผสานเทคโนโลยี AI และ Digital Twin สร้างแบบจำลองสถานการณ์ ช่วยให้การตัดสินใจในภาวะวิกฤตตั้งอยู่บนข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบัน
"ข้อมูลที่ถูกรวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนออย่างเป็นระบบ สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการช่วยชีวิตได้ทันกับการสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน"
ในงานสัมมนา Thailand User Conference 2025 (TUC 2025) ซึ่งถือเป็นเวทีด้านเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศ หรือ GIS (Geographic Information System) ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย จัดโดย Esri Thailand ในกลุ่มบริษัทซีดีจี หนึ่งในช่วงที่ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมมากที่สุดคือการสาธิตสถานการณ์ “อาคารถล่ม” จากเหตุแผ่นดินไหวของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และการสรุปภาพรวมโดยกรุงเทพมหานคร
การจำลองเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงจุดประสงค์เพื่อเล่าเหตุการณ์สมมุติและการทำงานของทีมช่วยเหลือด้านต่างๆ ด้วยเทคโนโลยี แต่เป็นการแสดงให้เห็นถึงพลังของแพลตฟอร์ม ArcGIS ในการทำงานจริงภายใต้สถานการณ์วิกฤต ที่ต้องอาศัยข้อมูลหลายมิติและการประสานงานข้ามหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศในการจัดการภัยพิบัติ
สิ่งที่ทำให้ ArcGIS โดดเด่นในสถานการณ์เช่นนี้คือความสามารถในการวิเคราะห์เชิงพื้นที่ (Spatial Analysis) ซึ่งไม่เพียงระบุจุดที่เกิดความเสียหาย แต่ยังสามารถประเมินความเสี่ยงที่เหลืออยู่ เช่น อาคารข้างเคียงที่อาจทรุดตัวตามมา หรือโครงสร้างพื้นฐานที่อาจเสียหายซ้ำจากแรงสั่นสะเทือนในภายหลัง การวิเคราะห์นี้เป็นพื้นฐานสำคัญสำหรับการจัดลำดับความสำคัญของการช่วยเหลือ และการวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียเพิ่มเติม
นอกจากนี้ จุดสำคัญอีกประการคือความสามารถของ ArcGIS ในการเชื่อมโยงข้อมูลและการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นทีมกู้ภัยในประเทศ หน่วยงานรัฐระดับกระทรวง และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ไปจนถึงทีมผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติที่เข้ามาสนับสนุนภารกิจ เช่น IDF National Rescue Unit (หน่วยกู้ภัยแห่งชาติของกองกำลังป้องกันประเทศอิสราเอล (Israel Defense Forces)) ที่เดินทางเข้ามาใน 48 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ
ทั้งในด้านการประเมินโครงสร้างอาคาร การจัดการข้อมูลแผ่นดินไหว และการส่งกำลังสนับสนุนด้านอุปกรณ์และเทคนิค ระบบ ArcGIS ทำให้ทีมต่างๆ สามารถเห็นข้อมูลเดียวกัน อัปเดตสถานการณ์ได้แบบเรียลไทม์ และลดความคลาดเคลื่อนในการสื่อสารข้ามภาษาและวัฒนธรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ภาพจำลองแบบสามมิติและแดชบอร์ดแบบโต้ตอบได้ทันที (Interactive) ช่วยให้ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุหรืออยู่ห่างไกลหลายพันกิโลเมตร สามารถประเมินสถานการณ์และร่วมวางแผนปฏิบัติการได้ในเวลาเดียวกัน การทำงานลักษณะนี้แสดงให้เห็นว่า เทคโนโลยีภูมิสารสนเทศไม่เพียงแต่ช่วยให้การช่วยเหลือมีความรวดเร็วและแม่นยำ แต่ยังสร้าง “ภาษากลาง” ให้ทุกทีมเข้าใจสถานการณ์ตรงกัน
ทั้งนี้ ในมุมมองของ “การปฏิบัติการแบบ Global Response” เหตุการณ์จำลอง “อาคารถล่ม” ในงาน TUC 2025 แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ArcGIS เป็นเหมือนสะพานเชื่อมความร่วมมือระหว่างทีมปฏิบัติการจากนานาชาติให้ทำงานร่วมกับทีมไทยได้อย่างไร้รอยต่อ เสมือนอยู่ในศูนย์บัญชาการเดียวกัน
เมื่อเกิดเหตุวิกฤต หน่วยงานต่างชาติ เช่น ทีมวิศวกรโครงสร้างจากญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญแผ่นดินไหวจากสหรัฐฯ และทีมกู้ภัยจากต่างประเทศ สามารถเชื่อมต่อเข้าสู่ระบบ ArcGIS ผ่านคลาวด์เพื่อเข้าถึงข้อมูลล่าสุดของพื้นที่เกิดเหตุได้ทันที ข้อมูลที่ถูกป้อนเข้าสู่ระบบ เช่น แผนผังโครงสร้างอาคาร, ภาพถ่ายดาวเทียมความละเอียดสูง, แบบจำลองสามมิติ และข้อมูลเชิงพื้นที่แบบเรียลไทม์ จะถูกซิงค์ให้ทุกฝ่ายเห็นเหมือนกันหมดโดยไม่ขึ้นอยู่กับระยะทางหรือเขตเวลา
งาน TUC 2025 สะท้อนให้เห็นการพัฒนา ArcGIS ไปไกลกว่าการเป็นเครื่องมือแผนที่ธรรมดา ระบบได้ผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) การประมวลผลบนคลาวด์ และแนวคิด Digital Twin เพื่อสร้างแบบจำลองพื้นที่ที่มีชีวิตและอัปเดตต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้การประเมินสถานการณ์ซับซ้อนสามารถทำได้แม้ผู้ใช้งานจะไม่มีทักษะด้านการเขียนโปรแกรม และยังช่วยให้การตัดสินใจในสถานการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลจริงที่แม่นยำ
การสาธิตเคส “อาคารถล่ม” ในงานครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นโชว์เทคโนโลยี แต่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการใช้ GIS อย่าง ArcGIS สามารถยกระดับการจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยได้อย่างไร และยังแสดงให้เห็นว่า ข้อมูลที่ถูกรวบรวม วิเคราะห์ และนำเสนออย่างเป็นระบบ สามารถสร้างความแตกต่างระหว่างการช่วยชีวิตได้ทันกับการสูญเสียที่ไม่อาจย้อนคืน
และยังตอกย้ำบทบาทของเทคโนโลยีภูมิสารสนเทศในฐานะกลไกสำคัญของการบริหารจัดการเมืองและการรับมือวิกฤตในยุคที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อความร่วมมือข้ามพรมแดนและการใช้แพลตฟอร์มร่วมกันกลายเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในภารกิจช่วยชีวิต
เหตุการณ์อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่มเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568
ถือเป็นภัยพิบัติครั้งใหญ่ในประเทศไทย อาคารสูง 30–33 ชั้นแห่งนี้พังทลายลงหลังเกิดแผ่นดินไหวขนาด 8.2 ริกเตอร์ในเมียนมา ข้อสืบสวนพบว่าปัจจัยหลักมาจากข้อบกพร่องในการออกแบบและก่อสร้าง ได้แก่ ผนังรับแรงเฉือนบริเวณปล่องลิฟต์ไม่ได้มาตรฐาน คอนกรีตและเหล็กเสริมคุณภาพต่ำ รวมถึงความล่าช้าในการบริหารงานโดยกิจการร่วมค้า ITD-CREC
หลังเกิดเหตุ กรมโยธาธิการและผังเมือง ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เริ่มจำลองแรงสั่นสะเทือนเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการรับแรงแผ่นดินไหวตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน 2568 ผลการจำลองยืนยันว่าผนังรับแรงเฉือนชั้นล่างเกิดวิบัติก่อน ซึ่งสอดคล้องกับผลสรุปการสืบสวนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2568
เหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 95 ราย สูญหาย 29 ราย และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 2,136 ล้านบาท นับเป็นกรณีศึกษาสำคัญด้านความปลอดภัยอาคารและการวางแผนรับมือภัยพิบัติในประเทศไทย


