โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) พลังงานอนาคตที่ไทยกำลังจับตา
ส่อง กฟผ.เดินหน้าโครงการไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แบบ SMR ขนาด 600 เมกะวัตต์ เสริมความมั่นคงพลังงาน สร้างรายได้-งานท้องถิ่น พร้อมวางมาตรการความปลอดภัยครบวงจร
KEY
POINTS
- ประเทศไทยโดย กฟผ. มีแผนลงทุนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ ด้วยงบประมาณราว 93,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2580 เพื่อเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
- โครงการ SMR คาดว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจในห่วงโซ่อุปทานมูลค่ากว่า 43,000 ล้านบาท โดยเฉพาะกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและโยธา และสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าตลอดอายุโครงการ 60 ปี รวมกว่า 780,000 ล้านบาท
- ความสำเร็จของโครงการขึ้นอยู่กับความปลอดภัยและความเชื่อมั่นของสังคม ซึ่งต้องอาศัยการเลือกพื้นที่ที่เหมาะสม การรับฟังความเห็นจากชุมชน การออกแบบระบบป้องกันภัยพิบัติ และมีแผนจัดการกากกัมมันตรังสีที่ชัดเจนและปลอดภัย
ข้อมูลจาก Krungthai Compass วิเคราะห์ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์แบบโมดูลหรือ SMR ย่อมาจาก “Small Modular Reactor” ที่จะกลายมาเป็นอนาคตด้านพลังงานสะอาดของไทยในอนาคต โดยโพสต์ทูเดย์ได้เรียบเรียงมาดังนี้
- กฟผ.มีแผนลงทุนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) กำลังผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ คาดใช้เงินลงทุนราว 93,000 ล้านบาท และสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าตลอด 60 ปีราว 780,000 ล้านบาท (เฉลี่ยปีละ 13,000 ล้านบาท)
- การลงทุนจะกระตุ้นเศรษฐกิจใน ห่วงโซ่อุปทาน มูลค่าราว 43,000 ล้านบาท ในช่วงปีเริ่มต้น โดยธุรกิจที่ได้ประโยชน์มากที่สุดคือ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างและโยธา (ราว 22,600 ล้านบาท)
- เพื่อสร้างมั่นใจด้านประสิทธิภาพและความปลอดภัยใน SMR ภาครัฐและภาคเอกชนสามารถปฏิบัติตามแนวทาง ดังนี้
· เลือกพื้นที่ที่มีสายส่งจำกัดและใกล้แหล่งน้ำ
· รับฟังและให้ข้อมูลแก่ชุมชนรอบโรงไฟฟ้า
· กำหนดให้ผู้ประกอบการเตรียมงบกำจัดกากกัมมันตรังสี
· ออกแบบระบบตัดไฟ–ต้านแผ่นดินไหวและป้องกันการรั่วไหล
· สร้างแหล่งเก็บกากกัมมันตรังสีใต้ดินถาวรในพื้นที่ปลอดภัย
ท่ามกลางกระแสพลังงานสะอาดที่ทั่วโลกเร่งพัฒนา “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก” หรือ Small Modular Reactor (SMR) กำลังกลายเป็นหนึ่งในคำตอบที่น่าจับตามอง สำหรับประเทศไทย แผนพัฒนาล่าสุดของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้บรรจุโครงการก่อสร้าง SMR ขนาดกำลังการผลิตรวม 600 เมกะวัตต์ไว้ในร่างแผน PDP2024 โดยวางเป้าหมายเริ่มก่อสร้างในปี 2575 และเดินเครื่องเชิงพาณิชย์เต็มรูปแบบตั้งแต่ปี 2580 ครอบคลุมระยะเวลาการดำเนินงานยาวถึง 60 ปี
แผนดังกล่าวแบ่งกำลังผลิตออกเป็น 2 พื้นที่หลักคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 300 เมกะวัตต์ และภาคใต้ 300 เมกะวัตต์ เพื่อกระจายแหล่งพลังงานและเสริมความมั่นคงด้านไฟฟ้าในภูมิภาค การลงทุนมูลค่าราว 93,000 ล้านบาทนี้ ไม่เพียงสร้างรายได้จากการขายไฟฟ้าประมาณ 780,000 ล้านบาทตลอดอายุโครงการ (เฉลี่ยปีละ 13,000 ล้านบาท) แต่ยังสร้างโอกาสให้ธุรกิจไทยในห่วงโซ่อุปทานมีรายได้รวมกว่า 43,000 ล้านบาทในช่วงเริ่มต้นพัฒนา
เมื่อพิจารณาประเภทของ SMR ที่เหมาะกับไทย “Land-Based Water-Cooled SMRs” (LWR) ดูจะเป็นตัวเลือกที่เด่นที่สุด เพราะมีระบบความปลอดภัยแบบ Passive Safety สามารถระบายความร้อนและป้องกันการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีได้อัตโนมัติ อีกทั้งใช้ “น้ำ” เป็นสารหล่อเย็น ซึ่งสอดคล้องกับภูมิประเทศไทยที่มีแหล่งน้ำมาก และยังเหมาะกับพื้นที่เป้าหมายที่มีระบบสายส่งขนาดกลาง ทำให้ไม่ต้องลงทุนขยายโครงข่ายมากนัก ขณะเดียวกัน “Molten Salt SMRs” (MSRs) ก็เป็นอีกทางเลือก โดยเฉพาะในพื้นที่เสี่ยงภัยแล้ง เพราะสามารถระบายความร้อนด้วยอากาศได้ และยังใช้เชื้อเพลิงได้หลากหลาย เช่น ธอเรียม หรือยูเรเนียมใช้แล้ว ลดต้นทุนในระยะยาว
ในเชิงเศรษฐกิจ การลงทุน LWR มีต้นทุนเฉลี่ยราว 155 ล้านบาทต่อเมกะวัตต์ในปี 2575 และสามารถคืนทุนภายใน 12.6 ปี อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย (IRR) อยู่ที่ประมาณ 6.8% ต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับมาตรฐานโครงการ SMR ทั่วโลก อีกทั้งยังเป็นโอกาสทองของธุรกิจไทยหลายกลุ่ม โดยกลุ่มรับเหมาก่อสร้างและโยธาจะได้รับประโยชน์มากที่สุด คาดว่ามีรายได้ราว 22,600 ล้านบาท รองลงมาคือกลุ่มผู้ผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าสำหรับระบบควบคุมและจ่ายไฟฟ้า (14,000 ล้านบาท) และกลุ่มอุปกรณ์ระบบทำความเย็น (6,500 ล้านบาท)
อย่างไรก็ดี ความสำเร็จของ SMR ไม่ได้วัดแค่ตัวเลขลงทุน แต่ยังขึ้นกับ “ความเชื่อมั่น” ของสังคมด้วย ภาครัฐและเอกชนจึงควรเลือกพื้นที่ติดตั้งที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำและปลอดภัยจากแผ่นดินไหว จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นและเปิดเผยข้อมูลการดำเนินงานอย่างโปร่งใส ออกแบบระบบป้องกันและตัดการทำงานฉุกเฉิน พร้อมลงทุนก่อสร้างแหล่งเก็บกากกัมมันตรังสีใต้ดินถาวร (DGR) ในพื้นที่ชั้นหินมั่นคงและไม่มีรอยเลื่อน เพื่อรับประกันความปลอดภัยในระยะยาว
สุดท้าย แผน SMR ของไทยจึงไม่ใช่แค่การสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ แต่เป็นการปักหมุด “โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานแห่งอนาคต” ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เสริมความมั่นคงด้านพลังงาน และสร้างความยั่งยืนในอีกหลายทศวรรษข้างหน้า


