แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าใช้แล้ว กับบทบาทใหม่ในการกักเก็บพลังงาน
กระแสการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเร่งขึ้นทุกขณะ กับคำถามเเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพและไม่เหมาะกับการใช้งานบนท้องถนนอีกต่อไป เราควรทำอย่างไรกับแบตเตอรี่ใช้แล้วเหล่านี้?
KEY
POINTS
- แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ความจุลดลงเหลือ 70-80% สามารถนำมาใช้ใหม่ในบทบาท “ชีวิตที่สอง” คือเป็นระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) สำหรับบ้านหรือโรงงาน
- การนำแบตฯ เก่ามาใช้ใหม่ช่วยประหยัดต้นทุน ลดขยะอิเล็กทรอนิกส์ และเพิ่มเสถียรภาพให้โครงข่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เป็นแนวโน้มที่เติบโตทั่วโลก
- ไทยมีโอกาสพัฒนาระบบกักเก็บพลังงานจากแบตฯ ใช้แล้วจำนวนมากในอนาคต เพื่อหนุนเป้าหมายพลังงานสะอาดและเสริมความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ
ข้อมูลจากรายงาน Global EV Outlook 2025 ชี้ว่าปีที่ผ่านมา (2024) มียอดขายรถ EV ทั่วโลกกว่า 17 ล้านคัน และในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายยังเติบโตขึ้นอีก 35% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยเฉพาะในประเทศจีนที่ยังคงครองตำแหน่งผู้นำตลาด EV อย่างเหนียวแน่น ส่วนแบ่งรถไฟฟ้าในตลาดจีนสูงเกือบ 50% ขณะที่ในสหรัฐฯ และยุโรปอยู่ที่ราว 10–20% แต่สิ่งที่น่าจับตายิ่งกว่าคือ การเติบโตของ EV ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา และรวมทั้งประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่เร่งตัวขึ้นทั่วโลก คำถามหนึ่งเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ คือ เมื่อแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าเสื่อมสภาพและไม่เหมาะกับการใช้งานบนท้องถนนอีกต่อไป เราควรทำอย่างไรกับแบตเตอรี่ใช้แล้วเหล่านี้? ในที่นี้ คำตอบอาจจะไม่ใช่ “การรีไซเคิล” อย่างที่หลายคนคิด แต่คือ “การต่ออายุ” แบตเตอรี่เหล่านี้ให้กลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่ในบทบาทของ “ระบบกักเก็บพลังงาน (Battery Energy Storage)” สำหรับบ้าน โรงงาน หรือแม้แต่ทั้งชุมชน
ชีวิตที่สองของแบตเตอรี่ (Second-Life)
โดยปกติแล้ว แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้ามักจะถูกปลดระวางเมื่อความจุลดลงเหลือประมาณ 70–80% ของเดิม เนื่องจากไม่เพียงพอสำหรับสมรรถนะที่รถยนต์ต้องการ แต่กลับเพียงพออย่างมากสำหรับระบบกักเก็บพลังงานที่ไม่ต้องการความเข้มข้นสูง เช่น การกักเก็บพลังงานของบ้านเรือน ด้วยเหตุนี้ แนวคิดของแบตเตอรี่ “Second-Life” จึงถือกำเนิดขึ้น คือ การนำแบตเตอรี่ใช้แล้วกลับมาใช้งานใหม่ในระบบพลังงานนิ่ง (Stationary Energy Storage) แทนการรีไซเคิลหรือกำจัดทิ้งทันที
แนวโน้มนี้กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วทั่วโลก โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ความจุของตลาดแบตเตอรี่ Second-Life อาจแตะระดับ 275 กิกะวัตต์ชั่วโมงต่อปี ซึ่งเพียงพอต่อการจ่ายไฟให้กับบ้านเรือนนับล้านหลัง ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาจากต่างประเทศ
ระบบไมโครกริดในรัฐเนวาดา โดยใช้พลังจากแบตเตอรี่ใช้แล้ว
หนึ่งในโครงการ Second-Life ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเกิดขึ้นที่รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา โดยบริษัท Redwood Materials (หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Tesla) ได้พัฒนาระบบไมโครกริดขนาด 12 เมกะวัตต์ / 63 เมกะวัตต์ชั่วโมง ด้วยการใช้แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าที่ปลดระวางแล้ว โครงการนี้ใช้แบตเตอรี่เก่าจากรถยนต์ Tesla โดยพลังงานจากแสงอาทิตย์ที่ผลิตได้ในช่วงกลางวันจะถูกกักเก็บไว้ในแบตเตอรี่เหล่านี้ แล้วปล่อยพลังงานออกมาในช่วงกลางคืนหรือช่วงที่ความต้องการไฟฟ้าสูง
แบตเตอรี่เก่า 500 ก้อนกับระบบกักเก็บพลังงานในรัฐเท็กซัส
โครงการที่รัฐเท็กซัส โดยบริษัท B2U Storage Solutions ได้รวบรวมแบตเตอรี่ EV ที่ปลดระวางแล้วจำนวนกว่า 500 ก้อน มาใช้เป็นระบบกักเก็บพลังงานขนาด 24 เมกะวัตต์ชั่วโมง โดยระบบกักเก็บนี้จะชาร์จพลังงานในช่วงที่มีไฟฟ้าล้นเกิน (จากพลังงานแสงอาทิตย์และลม) และปล่อยไฟฟ้าออกมาเมื่อความต้องการไฟฟ้าพุ่งสูง โครงการนี้ช่วยยืดอายุแบตเตอรี่ได้อีกประมาณ 8 ปี และเพิ่มเสถียรภาพให้กับโครงข่ายไฟฟ้าในรัฐที่ประสบปัญหาไฟฟ้าดับบ่อยครั้ง
การนำแบตเตอรี่ใช้แล้วมาใช้ใหม่มีข้อดีหลากหลายด้าน เช่น ประหยัดต้นทุน เนื่องจากแบตเตอรี่ใช้แล้ว (Second-Life) มีต้นทุนต่ำกว่าการใช้แบตเตอรี่ใหม่อย่างมาก เหมาะสำหรับผู้ประกอบการหรือหน่วยงานที่ต้องการระบบกักเก็บพลังงานในราคาคุ้มค่า, ส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน ช่วยลดการใช้ทรัพยากรใหม่ เช่น ลิเทียม โคบอลต์ และลดขยะอิเล็กทรอนิกส์, เพิ่มเสถียรภาพโครงข่ายไฟฟ้า รองรับปัญหาความไม่สม่ำเสมอของพลังงานหมุนเวียน และช่วยลดคาร์บอน โดยขยายอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ EV
สำหรับประเทศไทย โอกาสของตลาดแบตเตอรี่ Second-Life นั้นมีความเป็นไปได้ โดยเฉพาะเมื่อเรากำลังผลักดันตัวเองให้เป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในภูมิภาค ด้วยการลงทุนจากค่ายจีน เช่น BYD, NETA และ GWM ในประเทศไทย หากรถยนต์ EV จำนวนมากเข้าสู่ตลาดในช่วง 8–10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีแบตเตอรี่ปลดระวางจำนวนมหาศาล หากนำมาพัฒนาเป็นระบบกักเก็บพลังงานในประเทศ แทนที่จะรีไซเคิลทันทีหรือส่งออก จะช่วยหนุนเป้าหมายพลังงานสะอาดของประเทศ ช่วยเสริมความมั่นคงของโครงข่ายระบบไฟฟ้า และลดการพึ่งพานำเข้า โดยระบบไมโครกริดจากแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถนำมาประยุกต์ได้ในหลายพื้นที่ เช่น ในพื้นที่ชุมชนห่างไกลหรือเกาะ หรือในนิคมอุตสาหกรรมที่มีการใช้พลังงานสูง เป็นต้น


