"ไม่ใช่ทุกคนจะเข้าได้" ส่องกฎกติกา Entertainment Complex ทั่วโลก
ส่องกฎ-กติกาเข้ม ก่อนเข้าเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ สิงคโปร์ ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐฯ ระบบคัดกรองที่วางหมากไว้สำหรับผู้เล่นที่ไม่ธรรมดา เพราะไม่ใช่ที่สำหรับ walk in!
แม้แนวคิด “สถานบันเทิงครบวงจร” หรือ Integrated Resort (IR) จะเป็นเครื่องมือทรงพลังในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงดูดการท่องเที่ยว และสร้างงาน แต่ “คาสิโน” ซึ่งเป็นแกนกลางของโมเดลนี้ กลับไม่ใช่พื้นที่ที่ใครก็เข้าถึงได้โดยเสรีอย่างที่หลายคนเข้าใจ หากย้อนดูประสบการณ์จากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกที่เปิดคาสิโนในลักษณะนี้ จะพบว่า รัฐมีแนวทางควบคุมอย่างเข้มงวดโดยเฉพาะกับ ‘คนในประเทศ’ เอง มากกว่าที่จะเปิดเสรีอย่างเบ็ดเสร็จ นี่คือเรื่องราวของการบริหารความเสี่ยงเชิงสังคมที่หลายประเทศเรียนรู้ผ่านบทเรียนของตัวเอง
'สิงคโปร์' ตัวอย่างคลาสสิกของการ “เปิดแต่ไม่ปล่อย”
สิงคโปร์เปิดให้บริการคาสิโนใน IR สองแห่ง คือ Marina Bay Sands และ Resorts World Sentosa ตั้งแต่ปี 2010 พร้อมกฎหมายควบคุมที่ถือว่ามีความเข้มข้นที่สุดประเทศหนึ่งในโลก จุดเด่นคือระบบ “Entry Levy” หรือค่าธรรมเนียมแรกเข้า ซึ่งบังคับใช้เฉพาะชาวสิงคโปร์และผู้พำนักถาวร (Permanent Residents: PR) ที่ต้องการเข้าไปเล่นคาสิโน โดยคิดอัตรา 150 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อวัน และ 3,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อปี
มาตรการนี้มีจุดประสงค์เพื่อ “ชะลอการเข้าถึงคาสิโนโดยไม่จำเป็น” ไม่ใช่เพื่อหารายได้เข้ารัฐ และไม่มีการคืนเงินหากไม่ได้เข้าเล่นจริง ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลสิงคโปร์ยังสนับสนุนให้ครอบครัวและองค์กรต่าง ๆ สามารถยื่นเรื่องขอ “Exclusion Order” เพื่อห้ามสมาชิกในครอบครัวที่มีพฤติกรรมเสี่ยงจากการพนันไม่ให้เข้าสู่พื้นที่คาสิโน โดยในปี 2019 ทางการสิงคโปร์ระบุว่า มีผู้ถูกห้ามเข้า (Exclusion Orders) สะสมมากกว่า 240,000 ราย ซึ่งสะท้อนว่ารัฐไม่ได้เปิดทางเสรีให้คาสิโนกลืนสังคมในประเทศ
Exclusion Orders และ Visit Limits คือกฎที่รัฐบาลหรือครอบครัวสามารถยื่นคำร้องเพื่อห้ามบุคคลจากการเข้าใช้คาสิโน (Self‑, Family‑ และ Third‑Party Exclusion) โดยมีตัวเลขแสดงว่าในช่วงแรกมีการประกาศคำสั่งกว่า 44,000 ราย และประเภทอื่นรวมกันประมาณ 2,200 ราย
'ญี่ปุ่น' รัฐบาลที่ต้องต่อสู้กับแรงต้านเพื่อเปิดคาสิโน
ญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มออกกฎหมายให้เปิดคาสิโนในรูปแบบ IR ได้ในปี 2018 หลังจากถกเถียงกันในรัฐสภามานานกว่า 15 ปี ท่ามกลางแรงต้านจากประชาชน กลุ่มศาสนา และภาคประชาสังคม รัฐบาลญี่ปุ่นจึงเลือกใช้แนวทาง เปิดคาสิโนเฉพาะจุด และตั้งมาตรการควบคุมแบบละเอียด
ที่เด่นที่สุดคือการกำหนดให้พลเมืองญี่ปุ่นที่ต้องการเข้าสู่พื้นที่คาสิโนต้อง ใช้ My Number Card (บัตรประชาชน) ในการลงทะเบียนก่อนทุกครั้ง พร้อมกับมี เพดานการเข้าเล่นสูงสุดที่ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือ 10 ครั้งต่อเดือน
ญี่ปุ่นยังตั้งกองทุนบำบัดปัญหาการพนัน และบังคับให้คาสิโนต้องรายงานข้อมูลพฤติกรรมผู้เล่นกลับสู่ระบบราชการเพื่อตรวจสอบความเสี่ยงในระยะยาว
นโยบายเหล่านี้สะท้อนจุดยืนชัดเจนของรัฐบาลว่า คาสิโนจะไม่เป็น “ประตูที่เปิดกว้าง” ให้คนในประเทศแห่เข้าไปสร้างปัญหาสังคม
'เกาหลีใต้' ประเทศที่ปิดคาสิโนจากคนของตัวเองเกือบทั้งหมด
แม้เกาหลีใต้จะมีคาสิโนมากถึง 17 แห่งทั่วประเทศ แต่เพียงแห่งเดียวเท่านั้นคือ Kangwon Land ที่อนุญาตให้พลเมืองเกาหลีเข้าร่วมเล่นได้ คาสิโนที่เหลือทั้งหมดเปิดรับเฉพาะชาวต่างชาติ การจำกัดนี้ไม่ได้มีเพียงในเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมกับการคัดกรองทางสังคมอย่างเข้มงวด เช่น:
Kangwon Land ต้องตรวจสอบประวัติลูกค้าอย่างละเอียด มีข้อกำหนดด้านอายุ รายได้ และความถี่ในการเข้าชม และหากพบประวัติการใช้จ่ายเกินตัว หรือมีข้อกังวลด้านสุขภาพจิต อาจถูกแบนการเข้าใช้
ทั้งนี้ Kangwon Land ยังมีการปิดทำการช่วงกลางคืนเป็นประจำ และมีการจำกัดจำนวนโต๊ะเล่นเกมเพื่อควบคุมพฤติกรรมเสี่ยงของผู้เล่น โดยในช่วงปี 2016-2018 รัฐบาลเกาหลีใต้เริ่มพิจารณามาตรการลดขนาดการให้บริการคาสิโนด้วยซ้ำ เนื่องจากปัญหาการติดพนันเริ่มส่งผลกระทบกับแรงงานและครอบครัวในพื้นที่
'สหรัฐอเมริกา' ตัวอย่างของเสรีภาพควบคู่กับการกำกับเฉพาะพื้นที่
แม้สหรัฐฯ จะขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่เปิดเสรีด้านคาสิโนมากที่สุด โดยเฉพาะในรัฐเนวาดา (Las Vegas) และนิวเจอร์ซีย์ (Atlantic City) แต่ความจริงคือ การเปิดคาสิโนขึ้นอยู่กับระดับรัฐและท้องถิ่น หลายรัฐยังคงแบนคาสิโน เช่น ฮาวายและยูทาห์
สหรัฐฯ ยังใช้ระบบ “Self-Exclusion Program” ที่ให้ผู้เล่นสมัครใจห้ามตนเองไม่ให้เข้าไปในคาสิโน และมีการบังคับใช้จริง เช่น การจับกุมหรือปรับผู้ที่ฝ่าฝืน นอกจากนี้ คาสิโนยังต้องส่งรายงานสถิติเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้เล่นให้กับคณะกรรมการกำกับดูแลในระดับรัฐ ทำให้แม้จะเสรีในภาพรวม แต่ก็ยังมีระบบกำกับเพื่อป้องกันปัญหาสังคมที่อาจเกิดขึ้น
บทเรียนจากต่างประเทศ จะเปิด IR อย่างไรไม่ให้เกิดผลกระทบทางลบ
การเปรียบเทียบนโยบายเหล่านี้ทำให้เห็นว่า ไม่มีประเทศใดเปิดคาสิโนแบบไร้เงื่อนไข เพราะแม้รายได้จากการพนันจะมากมายมหาศาล แต่ต้นทุนทางสังคมจากการติดพนัน ปัญหาครอบครัวและอาชญากรรมนั้นสูงไม่แพ้กัน โดยภาพรวมจุดร่วมสำคัญๆ ของหลายประเทศคือ
- จำกัดการเข้าถึงของคนในประเทศ โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยหรือมีความเสี่ยง
- ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ เช่น Entry Levy เพื่อชะลอการตัดสินใจ
- มีระบบเฝ้าระวังและรายงานความเสี่ยง อย่างต่อเนื่อง
- เปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อสร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมจากชุมชน
ไทยควรเรียนรู้อะไร?
ในวันที่ประเทศไทยกำลังถกเถียงเรื่องการจัดตั้ง “Entertainment Complex” ที่มีคาสิโนเป็นหนึ่งในองค์ประกอบหลัก การเรียนรู้จากประเทศที่เดินมาก่อนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่ใช่แค่เรื่องของการออกแบบพื้นที่หรูหรา หรือการจัดเก็บภาษีอย่างเหมาะสมเท่านั้น
แต่เป็นเรื่องของการปกป้องพลเมืองจากภัยเงียบที่ซ่อนอยู่ในความบันเทิงระดับโลก ด้วยนโยบายที่รอบคอบ เหมาะสมกับบริบทสังคมไทย และเปิดทางให้ความเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนทั้งด้านเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของประชาชน
อ้างอิง: https://www.jcrc.go.jp/
IAG


