กรุงเทพฯ เมืองย้อนแย้ง เงินเดือนเฉลี่ย 28,600/คน แต่หนี้พุ่ง 181%
เผยเงินเดือนเฉลี่ยคนกรุงเพียง 28,600 บาท สวนทางภาระหนี้พุ่ง 181% ของรายได้ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างค่าครองชีพในเมืองหลวง
"The Bangkok Paradox" เมืองแห่งโอกาสที่รายได้ไล่ไม่ทันค่าครองชีพ
แม้กรุงเทพมหานครจะถูกมองว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของประเทศไทย เต็มไปด้วยโอกาสทางอาชีพ การลงทุน และชีวิตเมืองที่ทันสมัย แต่ภายใต้ภาพลักษณ์ของ “มหานครแห่งความหวัง” นี้ กลับซ่อนความเปราะบางทางเศรษฐกิจไว้ในระดับที่น่ากังวล รายงานล่าสุดเผยให้เห็นสิ่งที่เรียกว่า “The Bangkok Paradox” หรือ “ความย้อนแย้งของกรุงเทพฯ” ที่กำลังฉุดรั้งคุณภาพชีวิตของคนเมืองหลวงไว้อย่างช้า ๆ และลึกลงทุกปี
รายได้เฉลี่ยต่ำกว่าหลายเมืองใหญ่ของโลก
รายงานการสำรวจรายได้และค่าครองชีพของเมืองใหญ่ทั่วโลกโดย Deutsche Bank ถือเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดสำคัญที่สะท้อนภาพภูมิทัศน์ทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับสากล โดยรายงานล่าสุดซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พบว่า รายได้เฉลี่ยของคนกรุงเทพฯ อยู่ที่ราว 28,600 บาทต่อเดือน หรือประมาณ 343,000 บาทต่อปี อยู่ในอันดับที่ 59 ของโลก ขณะที่เมืองอย่างเจนีวา ซูริค โคเปนเฮเกน หรือแม้แต่เมืองในเอเชียอย่างสิงคโปร์ มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสูงถึง 150,000 – 270,000 บาท โดยที่เมืองอันดับหนึ่งอย่างเจนีวามีรายได้เฉลี่ยสูงกว่ากรุงเทพฯ ถึง เกือบ 10 เท่า
แม้รายได้ระดับนี้อาจเพียงพอสำหรับเมืองขนาดกลางที่ค่าครองชีพต่ำ แต่สำหรับกรุงเทพฯ ซึ่งมีค่าครองชีพสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของอาเซียน รายได้ระดับดังกล่าวกลับไม่เพียงพอที่จะสร้างความมั่นคงในชีวิตได้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับภาระหนี้สิน
ภาระหนี้ครัวเรือนทะลุ 181% ของรายได้
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทยระบุว่า คนกรุงเทพฯ โดยเฉลี่ยมีภาระหนี้ต่อรายได้สูงถึง 181% นั่นหมายความว่า หากมีรายได้ต่อปี 343,000 บาท ก็จะมีหนี้สินเฉลี่ยมากถึง 620,000 บาท ซึ่งถือว่าเกินขีดความสามารถในการชำระหนี้อย่างปลอดภัยตามมาตรฐานสากล
เมื่อเทียบกับเมืองใหญ่ในต่างประเทศ เช่น ซูริค ที่แม้ค่าครองชีพจะแพงกว่า แต่มีภาระหนี้เฉลี่ยเพียง 51% ของรายได้ หรือ แฟรงค์เฟิร์ต (เยอรมนี) เงินเดือนเฉลี่ยอยู่ที่ 153,408 แต่มีสัดส่วนหนี้ต่อเงินเดือนเพียง 45% ทำให้ประชาชนยังคงสามารถใช้จ่าย ออมเงิน และลงทุนในอนาคตได้อย่างมีเสถียรภาพ ในขณะที่คนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ต้องใช้รายได้ไปกับการผ่อนหนี้ จนแทบไม่มีเหลือสำหรับการออม การลงทุน หรือแม้แต่การใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ
ค่าครองชีพสูง – รายได้ไม่ขยับ
ปัจจัยที่ตอกย้ำความเปราะบางคือ ค่าครองชีพในกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งค่าอาหาร ค่าที่อยู่อาศัย ค่าเดินทาง และค่าสาธารณูปโภค ขณะที่รายได้กลับไม่ปรับตัวตามอัตราเงินเฟ้อหรือผลผลิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ “รายได้จริง” ของคนกรุงเทพฯ ลดลงทุกปี กล่าวคือ แม้เงินเดือนจะคงเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่กลับซื้อของได้น้อยลง ใช้ชีวิตลำบากขึ้น และมีโอกาสน้อยลง
คนจำนวนไม่น้อยต้องพึ่งพา “สินเชื่อส่วนบุคคล” หรือ “บัตรเครดิต” เพื่อประคองชีวิตในแต่ละเดือน ซึ่งยิ่งทำให้ปัญหาหนี้สินสะสมหนักขึ้นเรื่อย ๆ กลายเป็นวงจรหนี้ที่ยากจะหลุดพ้น
ความย้อนแย้งที่น่ากังวล
The Bangkok Paradox ไม่ได้สะท้อนเพียงตัวเลขทางเศรษฐกิจ แต่ยังชี้ให้เห็นถึง ความไม่สมดุลเชิงโครงสร้าง ที่กำลังรุนแรงขึ้น คนเมืองมีงานทำ มีรายได้ มีความหวัง แต่ไม่สามารถ “สร้างอนาคต” ได้เพราะหนี้สินล้นตัวและค่าครองชีพกินรายได้ไปหมด ความมั่นคงทางการเงินในระดับบุคคลจึงลดต่ำลงอย่างต่อเนื่อง
นี่คือความย้อนแย้งของเมืองใหญ่ที่มีตึกระฟ้า ห้างหรู และโอกาสเต็มไปหมด แต่ประชาชนจำนวนมากกลับไม่สามารถเข้าถึงคุณภาพชีวิตที่ดีได้จริง
ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิด "ปรากฏการณ์บางกอกพาราดอกซ์"
"ปรากฏการณ์บางกอกพาราดอกซ์" หรือ "ความย้อนแย้งของกรุงเทพฯ" นี้ เกิดจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน:
* ค่าครองชีพที่พุ่งสูง: ราคาอสังหาริมทรัพย์ ค่าเดินทาง ค่าอาหาร และค่าสาธารณูปโภคในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสวนทางกับกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่
* การเติบโตของรายได้ที่ไม่ทันค่าใช้จ่าย: แม้เศรษฐกิจจะมีการเติบโต แต่การกระจายรายได้ยังไม่ทั่วถึง และการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนไม่สามารถไล่ตามการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพได้ทัน
* โครงสร้างเศรษฐกิจ: การพึ่งพิงภาคบริการและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอก ทำให้ความมั่นคงทางรายได้ของประชากรบางส่วนมีความผันผวน
* หนี้ครัวเรือน: การเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น ประกอบกับการขาดวินัยทางการเงินและภาวะเศรษฐกิจที่บีบคั้น ทำให้หนี้ครัวเรือนพุ่งสูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง
อ้างอิง: efinancethai.com


