เครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว นวัตกรรมรับมือภัยพิบัติ พลิกโฉมเมือง
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เปิดตัวนวัตกรรมรับมือภัยพิบัติ "เครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว" ฝีมือคนไทย ชูจุดเด่นวิเคราะห์ผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารได้ใน 5 นาที
ท่ามกลางความท้าทายของโลกที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่คาดเดายากและปัญหาความเหลื่อมล้ำเชิงโครงสร้าง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ได้นำเสนอ “นวัตกรรม SDGs เพื่อประชาชน” กว่า 30 ผลงาน
ที่ไม่ได้เป็นเพียงทฤษฎีบนหิ้ง แต่คือเครื่องมือที่พร้อมใช้งานจริง โดยมีไฮไลต์สำคัญคือ ‘เครื่องเตือนภัยและตรวจวัดสุขภาพอาคาร’ ที่พร้อมรับมือแผ่นดินไหว ซึ่งมุ่งปิดช่องว่างความเปราะบางของประเทศ
เครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหว: เทคโนโลยีที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
สังคมไทยกำลังเผชิญกับ "จุดเจ็บปวด" (Pain Point) ในหลากหลายมิติ รายงานของสหประชาชาติ (UN) ระบุว่าไทยยังคงมีความเหลื่อมล้ำทางรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆ ในอาเซียน
ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติต่อประชากรสูงที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัญหาเหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวเลขในรายงาน แต่คือสภาพชีวิตจริงที่ประชาชนต้องเผชิญในทุกวัน
ศ. ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาลย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) จะไร้ความหมายหากไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้
ธรรมศาสตร์จึงไม่ได้มอง SDGs เป็นเพียงวาระสากล แต่เป็น "กลไกสร้างการเปลี่ยนแปลง" โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้จากหลากหลายสาขา ทั้งวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์ และการออกแบบ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของสังคมอย่างแท้จริง
หนึ่งในนวัตกรรมที่สะท้อนแนวคิดนี้ได้ชัดเจนที่สุด คือ เครื่องเตือนภัยแผ่นดินไหวและระบบตรวจวัดสุขภาพอาคาร ที่จัดแสดงในโซน "ความพร้อมรับมือภัยพิบัติ" (Resilience & Disaster Preparedness)
ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงสัญญาณเตือน แต่เป็นระบบมอนิเตอร์อัจฉริยะที่ช่วยในการตัดสินใจภาวะวิกฤติ
ผศ.ดร.อมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี อาจารย์ประจำสาขาเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนายั่งยืน คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายว่า
หัวใจของระบบนี้ไม่ใช่แค่การติดตั้งเซ็นเซอร์ แต่คือการ "รู้จัก" อาคารแต่ละหลังอย่างลึกซึ้ง
ก่อนการติดตั้ง ทีมวิจัยจะเข้าสำรวจโครงสร้าง วัสดุ และอายุของอาคาร เพื่อสร้างแบบจำลองทางดิจิทัล (Digital Model) ขึ้นมาคำนวณหา "ค่าความแข็งแรงสูงสุด" ที่อาคารนั้นๆ สามารถรับได้ ทำให้อาคารแต่ละหลังมีเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงเฉพาะตัว
เมื่อเกิดการสั่นสะเทือนขึ้นจริง ไม่ว่าจะจากแผ่นดินไหว หรือกิจกรรมของมนุษย์ เช่น การก่อสร้างหรือเจาะถนน
ระบบเซ็นเซอร์ซึ่งติดตั้งไว้ตามชั้นต่างๆ จะตรวจจับและส่งข้อมูลไปวิเคราะห์โดยอัตโนมัติ ภายในเวลาไม่เกิน 5 นาที ระบบจะประเมินผลได้ว่าแรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นนั้นส่งผลกระทบต่อโครงสร้างหลักของอาคารหรือไม่
"ถ้าตัวเลขที่เกิดขึ้นจริงต่ำกว่าค่าสูงสุดที่เราประเมินไว้ เจ้าหน้าที่ก็สามารถแจ้งบุคลากรในอาคารได้ว่าโครงสร้างยังปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องอพยพทันที"
นี่คือข้อดีที่ช่วยลดความตื่นตระหนกและภาวะชะงักงันโดยไม่จำเป็น เช่น ในโรงพยาบาลที่การอพยพผู้ป่วยเป็นเรื่องใหญ่ ก็สามารถปฏิบัติงานต่อได้หลังเหตุการณ์สงบ
นอกจากนี้ ระบบยังสามารถแยกแยะลักษณะความถี่ของการสั่นสะเทือนได้ ทำให้รู้ว่าแรงสั่นนั้นมาจากแผ่นดินไหวตามธรรมชาติ หรือมาจากการก่อสร้างบริเวณใกล้เคียง ซึ่งจะไม่ส่งสัญญาณเตือนโดยไม่จำเป็น
นวัตกรรมฝีมือคนไทย: ราคาเข้าถึงได้และพร้อมขยายผล
จุดเด่นสำคัญคือเทคโนโลยีนี้พัฒนาโดยคนไทย ทำให้มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายกว่ามาก
"ฮาร์ดแวร์ตัวหนึ่งราคาอยู่ที่หลักหมื่นบาท (ประมาณ 20,000 - 30,000 บาท) ขณะที่การนำเข้าจากต่างประเทศมีราคาสูงถึงหลักแสน"
ทำให้การขยายผลติดตั้งในวงกว้างมีความเป็นไปได้สูง โดยปัจจุบันเทคโนโลยีนี้พร้อมสำหรับการผลิตและติดตั้งแล้ว เหลือเพียงการรอชิ้นส่วนอุปกรณ์บางตัวจากต่างประเทศเท่านั้น
ปัจจุบัน ทีมวิจัยได้ขอทุนสนับสนุนจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เพื่อขยายการติดตั้งไปยังพื้นที่ต่างๆ โดยเน้นความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งได้ติดตั้งระบบในอาคารว่าการ กทม. 2 (ดินแดง) แล้ว
เป้าหมายหลักคือการติดตั้งในพื้นที่เสี่ยงภัยโดยตรง ได้แก่ จังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันตกราว 10-11 จังหวัด รวมถึงอาคารสูงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวระยะไกลได้
นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งในพื้นที่สำคัญอย่างอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย และที่ มธ. ศูนย์ลำปาง ซึ่งอยู่ในพื้นที่เสี่ยง


