จีนผงาด! คาดครองส่วนแบ่งตลาดรถยนต์โลก 1 ใน 3 ภายในปี 2030
อุตสาหกรรมยานยนต์จีนเดินหน้าเต็มกำลัง คาดยึดส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 30% ภายใน 2030 ผลพวงจากวิกฤตการผลิตล้นตลาดในประเทศ บีบผู้ผลิตต้องส่งออกเพื่อความอยู่รอด
คลื่นรถยนต์จากจีนกำลังถาโถมเข้าใส่ตลาดรถยนต์ทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้วยกลยุทธ์ด้านราคาที่เข้าถึงง่าย ได้จุดชนวน "สงครามราคา" ครั้งใหญ่
ที่ส่งแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทุกโชว์รูม ตั้งแต่เม็กซิโกจนถึงมาเลเซีย และคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 จีนจะสามารถผลิตรถยนต์ได้เกือบหนึ่งในสามของโลก ตามรายงานจาก Bloomberg
แม้รัฐบาลปักกิ่งจะส่งสัญญาณว่าต้องการเบรกเกมการแข่งขันอันดุเดือดที่บั่นทอนผลกำไร แต่สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์จีน
ซึ่งกำลังเผชิญหน้ากับ วิกฤตกำลังการผลิตล้นตลาด (Overcapacity) อยู่ภายในประเทศ แรงผลักดันมหาศาลสู่การส่งออกอาจเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป
สมรภูมิราคาเดือด สะเทือนโชว์รูมทั่วโลก
ปัจจุบัน ภาพรถยนต์สัญชาติจีนวิ่งอยู่บนท้องถนนในอเมริกาใต้กลายเป็นเรื่องปกติ ขณะที่ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) คุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้จากค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง BYD ก็กำลังกวาดหัวใจผู้บริโภคในยุโรปไปแล้วนับหลายพันราย
"ผู้ผลิตรถยนต์จีนกำลังมองหากำไรที่สูงขึ้นในตลาดต่างประเทศ" รอน เจิ้ง หุ้นส่วนจาก Roland Berger บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกให้ทัศนะ
"ตลาดในภูมิภาคต่างๆ จะได้รับผลกระทบแน่นอน แต่สงครามราคาคงไม่รุนแรงเท่ากับที่เกิดขึ้นในจีน"
มองลึกถึงต้นตอ วิกฤตกำลังการผลิตล้นตลาด
หากจะทำความเข้าใจผลกระทบในระดับโลก จำเป็นต้องมองย้อนกลับมาที่ต้นตอในประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยยานยนต์ Gasgoo ชี้ว่า ในปีที่ผ่านมามีผู้ผลิตรถยนต์เพียง 15% จากกว่า 70 ราย ที่สามารถใช้กำลังการผลิตได้ถึง 70% ซึ่งถือเป็นจุดคุ้มทุนในตลาดที่อิ่มตัวแล้ว
- BYD: ผู้ผลิตรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) อันดับหนึ่งของโลก ยังคงรักษาเสถียรภาพการผลิตไว้ได้ที่ 80-85%
- Tesla: โรงงานในเซี่ยงไฮ้ครองอันดับหนึ่งด้านการใช้อัตรากำลังการผลิตสูงถึง 96%
- บริษัทร่วมทุน: ค่ายรถยนต์ต่างชาติอย่าง SAIC-GM และ GAC-Honda กลับมีอัตราการผลิตลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
การส่งออก: ทางรอดท่ามกลางสมรภูมิเดือด
แม้ว่า Xiaomi จะยังไม่ส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าไปต่างประเทศ แต่ท่ามกลางเศรษฐกิจในประเทศจีนที่ชะลอตัวและการแข่งขันที่รุนแรง
ผู้ผลิตจีนรายอื่นจำนวนมากต่างหันหัวเรือมุ่งสู่การส่งออกอย่างเต็มกำลัง โดยส่งออกรถยนต์ไปยังทุกมุมโลก ยกเว้นสหรัฐอเมริกาที่กำแพงภาษีทำให้ไม่น่าเล่นด้วยนัก
ปัจจุบัน จีนได้แซงหน้าญี่ปุ่นและเยอรมนีขึ้นเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ข้อมูลการค้าล่าสุดสะท้อนให้เห็นภาพการส่งออกที่เฟื่องฟูอย่างชัดเจน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2025 ยอดการส่งออกรถยนต์ของจีนพุ่งสู่ระดับสูงสุดใหม่
โดยการส่งออกไปยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เพียงแห่งเดียวมีมูลค่าสูงถึง 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 551% จากปี 2022
ตอกย้ำให้เห็นถึงความต้องการรถยนต์จีนที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตะวันออกกลาง
นอกจากนี้ ตลาดสำคัญอื่นๆ ที่ขับเคลื่อนการส่งออกของจีนยังรวมถึงเม็กซิโก ซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในอุตสาหกรรมยานยนต์อเมริกาเหนือ ที่นำเข้ารถยนต์มูลค่า 2.4 พันล้านดอลลาร์
และรัสเซียที่ยังคงเป็นตลาดใหญ่ด้วยมูลค่า 2.2 พันล้านดอลลาร์ แม้จะมีความซับซ้อนทางภูมิรัฐศาสตร์
AlixPartners บริษัทที่ปรึกษา คาดการณ์ว่าผู้ผลิตจีนจะครองส่วนแบ่งตลาดโลกถึง 30% ภายในปี 2030
โดยจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในตลาดเกิดใหม่ เช่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง และอเมริกาใต้
อย่างไรก็ตาม สงครามราคาในประเทศยังคงดุเดือด BYD ซึ่งเป็นผู้นำตลาด ได้หั่นราคาโดยเฉลี่ยลงถึง 32%
ความสามารถในการลดราคาอย่างหนักหน่วงนี้มาจากความได้เปรียบในการผลิตชิ้นส่วนสำคัญเองเกือบทั้งหมด ตั้งแต่แบตเตอรี่ไปจนถึงชิป ทำให้คู่แข่งยากที่จะตามทัน
ขณะที่ผู้เล่นรายย่อยกำลังล้มหายตายจากไป แต่ก็ยังมีผู้เล่นหน้าใหม่กระโดดเข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าการควบรวมเพื่อคัดกรองผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดยังมาไม่ถึง
ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่รัฐบาลท้องถิ่นยังคงอุ้มชูผู้ผลิตบางรายไว้เพื่อรักษาการจ้างงานและเศรษฐกิจในพื้นที่
แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เชื่อว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงโดยมีผู้ชนะที่แข็งแกร่งที่สุดเหลือรอดอยู่เพียงไม่กี่สิบรายเท่านั้น
และคาดการณ์กันว่า ภายในปี 2030 หรืออีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ รถยนต์ 1 ใน 3 คันที่วิ่งอยู่บนถนนทั่วโลก จะเป็นรถยนต์ที่ผลิตจากประเทศจีน


