มจธ. เปิดตัววิจัยสุดล้ำ ปูทาง “เมกะซิตี้ไทย” อนาคตมหานครอัจฉริยะ
มจธ. ปั้นองค์ความรู้ใหม่ 4 ด้าน ปูทาง “เมกะซิตี้ไทย” ด้วยงบ 18 ล้านบาท ต่อยอดเทคฯวิศวกรรมชั้นสูง หนุนกรุงเทพฯ-เมืองเศรษฐกิจสู่มหานครอัจฉริยะ ยั่งยืน และปลอดภัย
“การวิจัยครั้งนี้ไม่ได้มองแค่เรื่องเทคนิคก่อสร้าง แต่เป็นการออกแบบ ‘อนาคตของเมือง’ ที่ยั่งยืน ปลอดภัย และชาญฉลาดในทุกมิติ ตั้งแต่วัสดุก่อสร้างไปจนถึงระบบขนส่งและการรับมือภัยพิบัติ”
“มหานคร” หรือ Megacity คือเมืองขนาดใหญ่ที่มีประชากรตั้งแต่ 10 ล้านคนขึ้นไป ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วของเมืองระดับนี้มักมาพร้อมกับปัญหาที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นความแออัดของประชากร ปัญหาสิ่งแวดล้อม หรือความเปราะบางต่อภัยพิบัติ หากขาดการวางแผนและบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานอย่างรอบด้าน แต่หนึ่งในกุญแจสำคัญที่สามารถเข้ามาช่วยรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คือ เทคโนโลยีวิศวกรรมชั้นสูง ซึ่งสามารถรองรับการพัฒนาเมืองใหญ่ในทุกมิติ และเป็นกลไกสำคัญในการพลิกโฉม “เมกะซิตี้ของไทย” สู่อนาคตอย่างยั่งยืนได้จริง
ล่าสุด มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ประกาศเปิดตัว โครงการวิจัยเทคโนโลยีและนวัตกรรมชั้นแนวหน้าในอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อรองรับการพัฒนาเมกะซิตี้แห่งอนาคต ภายใต้การนำของ ศาสตราจารย์ ดร.ชัย จาตุรพิทักษ์กุล ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนกว่า 18 ล้านบาท เพื่อสร้างองค์ความรู้ใหม่ 4 ด้าน ที่จะเปลี่ยนโฉมการพัฒนาเมืองขนาดใหญ่ในไทยให้ก้าวสู่มาตรฐานโลก
“โครงการฯ นี้ได้รับทุนสนับสนุนกลุ่มวิจัยศักยภาพสูง ประจำปี 2568 เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 จากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ภายใต้กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จำนวน 15 ล้านบาท และงบประมาณสนับสนุนจาก ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. จำนวน 3 ล้านบาท รวมงบประมาณทั้งสิ้น 18 ล้านบาท มีระยะเวลาการดำเนินงานวิจัย 3 ปี”
โครงการนี้มีเป้าหมายหลักที่จะมุ่งพัฒนากำลังคนทักษะสูงที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีวัสดุและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ เพื่อการก่อสร้างและบริหารจัดการเมกะซิตี้ และสร้างองค์ความรู้ใหม่ 4 ด้าน
4 องค์ความรู้ใหม่ ขับเคลื่อนมหานครอัจฉริยะของไทย
1. เทคโนโลยีวัสดุใหม่และการก่อสร้างแห่งอนาคต โดยมุ่งพัฒนา Green Technology สำหรับงานก่อสร้างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ มีความยั่งยืน และทนทาน รวมถึงการวิจัยวัสดุสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)
2. เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) และเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อการก่อสร้างและบริหารจัดการ เน้นการประยุกต์ใช้ AI ในการบริหารจัดการน้ำ การบำบัดน้ำเสีย และปัญหาขยะ
3. เทคโนโลยีเพื่อรองรับภัยพิบัติต่างๆ ทั้งภัยจากธรรมชาติ (เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว) และภัยจากความมั่นคง (เช่น การก่อการร้าย) เน้นการประยุกต์ใช้กลศาสตร์การคำนวณขั้นสูงและเทคโนโลยีการตรวจสมัยใหม่ รวมถึงการเก็บข้อมูลอัจฉริยะ (Smart Data) สำหรับการบริหารจัดการเมืองใหญ่และพัฒนาระบบเตือนภัยสำหรับโบราณสถาน
4. เทคโนโลยีการสัญจรอัจฉริยะ (Smart Mobility) เน้นการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบราง การขนส่งทางเรือ และการจัดการขนส่งในเมืองใหญ่ รวมถึงการจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงมาตรฐานในด้านความปลอดภัยสำหรับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน
เมืองไทยพร้อมหรือยัง? กับอนาคตแบบ “เมกะซิตี้”
ศาสตราจารย์ ดร.ชัย ชี้ว่า กรุงเทพมหานคร ถือเป็นตัวอย่างของเมกะซิตี้ที่แท้จริง และเมืองเศรษฐกิจหลัก เช่น เชียงใหม่ และ เขตพัฒนาเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) ก็มีแนวโน้มพัฒนาไปในทิศทางเดียวกัน การวางแผนและการวิจัยเชิงลึกเหล่านี้จึงจำเป็นอย่างยิ่ง
การเติบโตของเมืองไทยไม่ควรเป็นไปอย่างไร้ทิศทาง แต่ควรมาพร้อมกับ ระบบบริหารจัดการเมืองที่อิงหลักวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยขั้นสูง ที่สามารถตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตของผู้คนในระยะยาว
“รากศัพท์ของโยธามาจาก Civil Engineering หมายถึง วิศวกรรมพลเรือนที่เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับคนและเมือง ดังนั้นวิศวกรรมโยธามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเมกะซิตี้ โครงการนี้จึงมุ่งสร้างบุคลากรรุ่นใหม่ด้านวิศวกรรมชั้นสูงและวิจัยนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับปัญหาเมืองที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"
วิศวกรรมโยธา หัวใจของการเปลี่ยนแปลงเมือง
รองศาสตราจารย์ ดร.ชัยณรงค์ อธิสกุล และ รองศาสตราจารย์ ดร.วีรชาติ ตั้งจิรภัทร จากภาควิชาวิศวกรรมโยธา มจธ. เน้นย้ำว่า วิศวกรรมโยธาไม่ใช่แค่การสร้างสิ่งปลูกสร้าง แต่คือ “ศาสตร์ของคนและเมือง” ที่ต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่องเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง
“แม้จะมีงบประมาณหรือโจทย์ที่ดีเพียงใด แต่หากขาดบุคลากรที่มีทักษะสูงและมีวิสัยทัศน์ การพัฒนาเมกะซิตี้ก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ การสร้างคนจึงเป็นภารกิจหลักของเรา”
สร้างอนาคตที่ยั่งยืนผ่านงานวิจัยล้ำลึก
แม้ประเทศไทยจะมีบัณฑิตวิศวกรรมโยธาจำนวนมาก แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิจัยขั้นสูงยังมีน้อย งานวิจัยในระดับนี้ต้องใช้ทักษะเฉพาะทางและมุมมองที่ลึกซึ้งกว่าการทำงานภาคสนาม
“ผลลัพธ์จากโครงการนี้จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ”
ศ.ดร.ชัย กล่าว “ตั้งแต่การสร้างมาตรฐานใหม่ด้านวัสดุ การบริหารจัดการเมืองแบบอัจฉริยะ การเตรียมรับมือภัยพิบัติ ไปจนถึงการสร้างกำลังคนที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้จริง”
โครงการวิจัยนี้สอดรับกับ ยุทธศาสตร์การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พ.ศ. 2566–2570 (ยุทธศาสตร์ที่ 4) ที่เน้นการพัฒนากำลังคนและสถาบันให้เป็นฐานขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศแบบก้าวกระโดดและยั่งยืน


