posttoday

5 เทรนด์พลังงานอนาคต สร้างความมั่นคง ลดคาร์บอน รับความท้าทายโลก

12 กรกฎาคม 2568

BPP ถอดบทเรียนจากการดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศทั่วโลก รวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญในอนาคต ที่จะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางพลังงานระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ

หนึ่งในโจทย์ใหญ่ที่ทุกภาคส่วนต้องเร่งแก้ไขในโลกทุกวันนี้คือ “พลังงาน”

เมื่ออุณหภูมิโลกสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงดั้งเดิม (Electrification) กลายเป็นกระแสหลัก ขณะเดียวกัน โลกดิจิทัลที่ทุกอย่างเชื่อมโยงกันด้วยเทคโนโลยี ก็ยิ่งทำให้ความต้องการใช้พลังงานพุ่งสูงขึ้นแบบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นี่จึงเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ทุกประเทศต้องเร่งเปลี่ยนผ่านไปสู่ระบบพลังงานที่มีความมั่นคง ยืดหยุ่น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

 

บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP หนึ่งในผู้นำด้านพลังงานระดับภูมิภาค ได้ถอดบทเรียนจากการดำเนินธุรกิจใน 8 ประเทศทั่วโลก และรวบรวม 5 เทรนด์พลังงานสำคัญในอนาคต ที่จะมีบทบาทในการกำหนดทิศทางพลังงานระดับโลกอย่างมีนัยสำคัญ

 

5 เทรนด์พลังงานอนาคต สร้างความมั่นคง ลดคาร์บอน รับความท้าทายโลก

 

1. ความมั่นคงทางพลังงาน: หัวใจของการลงทุนทั่วโลก

รายงานจาก International Energy Agency (IEA) ชี้ว่า “Energy Security” หรือความมั่นคงทางพลังงาน กลายเป็นปัจจัยผลักดันให้เม็ดเงินลงทุนในพลังงานทั่วโลกในปี 2025 ทะยานแตะ 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

• กว่า 1.1 ล้านล้านดอลลาร์มุ่งไปที่พลังงานจากฟอสซิล เช่น น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน

• อีก 2.2 ล้านล้านดอลลาร์ทุ่มให้กับพลังงานสะอาด เช่น พลังงานหมุนเวียน พลังงานนิวเคลียร์ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ และระบบแบตเตอรี่

 

การลงทุนอย่างสมดุลในพลังงานดั้งเดิมควบคู่กับพลังงานสะอาด เป็นกลยุทธ์ที่ประเทศต่าง ๆ ใช้เพื่อรับมือกับความเสี่ยงรอบด้าน และรักษาความต่อเนื่องของระบบพลังงานในระยะยาว

 

2. เทคโนโลยี Co-firing: เปลี่ยนโรงไฟฟ้าเดิมให้ลดคาร์บอน

แม้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจะยังเป็นแหล่งผลิตหลักในหลายประเทศ แต่การปรับเปลี่ยนไปสู่รูปแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมกำลังเกิดขึ้นจริงผ่าน “เทคโนโลยี Co-firing”

 

Co-firing คือการนำเชื้อเพลิงทางเลือก เช่น ชีวมวล, ไฮโดรเจน, หรือ แอมโมเนีย มาเผาไหม้ร่วมกับฟอสซิลในโรงไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อย CO₂

• จีน กำหนดให้โรงไฟฟ้าถ่านหินใหม่และที่ปรับปรุงแล้วต้องผสมชีวมวลหรือแอมโมเนียไม่น้อยกว่า 10% ภายในปี 2027

• ไทย วางแผนนำร่องใช้ไฮโดรเจนผสมก๊าซธรรมชาติในสัดส่วน 5% ช่วงปี 2030–2037 ตามแผน PDP 2024

 

เทคโนโลยีนี้จึงเป็นทางเลือกที่สมดุลระหว่างความต่อเนื่องในการผลิตไฟฟ้า และความจำเป็นในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 

3. ดิจิทัลขับเคลื่อนพลังงาน: Data Center ผลักดีมานด์ไฟฟ้าพุ่ง

เศรษฐกิจดิจิทัลเติบโตอย่างรวดเร็ว และหนึ่งใน “ตัวดูดพลังงาน” ที่ใหญ่ที่สุดในระบบก็คือศูนย์ข้อมูล (Data Center)

• IEA คาดว่า ภายในปี 2030 การใช้ไฟฟ้าจาก Data Center ทั่วโลกจะพุ่งเกิน 945 เทราวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัวจากปัจจุบัน

• บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon Web Services, Microsoft, Google Cloud ต่างตั้งเป้าหมายใช้ พลังงานหมุนเวียน 100% หรือ พลังงานปลอดคาร์บอน ในศูนย์ข้อมูลภายในปี 2025–2030

 

ในขณะเดียวกัน พลังงานความร้อนยังจำเป็นเพื่อรักษาเสถียรภาพระบบไฟฟ้า โดยเฉพาะเมื่อพลังงานหมุนเวียนผลิตได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

 

การผสานเทคโนโลยี Battery Energy Storage (BESS) เข้ามาช่วยสำรองและจ่ายไฟเมื่อพลังงานหมุนเวียนไม่เพียงพอ กำลังกลายเป็นแนวทางสำคัญในการจัดการพลังงานในยุคดิจิทัล โดยตลาด BESS ในเอเชียแปซิฟิกจะเติบโตแตะ 14.67 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2033

 

4. โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR): พลังงานสะอาดที่ปลอดคาร์บอน

เทคโนโลยี Small Modular Reactor (SMR) คือคำตอบใหม่ของพลังงานนิวเคลียร์ในรูปแบบที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยกว่าเดิม

• เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก กำลังผลิตสูงสุด 300 เมกะวัตต์

• สร้างและติดตั้งเร็วขึ้นภายใน 3–4 ปี (เทียบกับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ปกติที่ใช้เวลา 5–6 ปี)

• ปลอดการปล่อย CO₂ และบริหารวัสดุกัมมันตรังสีได้ดีขึ้น

 

หลายประเทศเร่งพัฒนา SMR:

• จีน มีโครงการ “Linglong One” กำลังผลิต 125 เมกะวัตต์ คาดว่าจะเดินเครื่องในปี 2026

• สหรัฐฯ อนุมัติแบบเครื่องปฏิกรณ์ SMR ขนาด 77 เมกะวัตต์ ของ NuScale Power

• ไทย อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมสร้างโรงไฟฟ้า SMR 2 แห่ง แห่งละ 300 เมกะวัตต์ ในแผน PDP 2024

 

SMR เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตาในระยะยาว ทั้งในมิติของความมั่นคงและสิ่งแวดล้อม

 

5. Grid Modernization: เปลี่ยนโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันยุค

โครงข่ายไฟฟ้าแบบเดิมไม่สามารถรองรับพลังงานหลากหลายชนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกต่อไป “Grid Modernization” หรือการอัปเกรดโครงข่ายไฟฟ้าให้ทันสมัย จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญ

• ระบบจะมีความชาญฉลาดและยืดหยุ่นขึ้น ด้วยเทคโนโลยี Digital Control, Real-time Data, และ Automation

• ลด CO₂ ได้ดีขึ้น พร้อมรักษาเสถียรภาพของไฟฟ้าเมื่อมีพลังงานหมุนเวียนหลายแหล่งเข้าระบบ

 

ตัวอย่างในระดับโลก:

• จีน ทุ่มงบลงทุนโครงข่ายไฟฟ้ากว่า 800 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2030

• สหรัฐฯ เดินหน้าโครงการ GRIP (Grid Resilience and Innovation Partnerships) มูลค่า 10.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

• ตลาด Grid Modernization ใน เอเชียแปซิฟิก จะเติบโตจาก 12.7 พันล้านดอลลาร์ในปี 2024 เป็น 51.5 พันล้านดอลลาร์ในปี 2032

 

พลังงานแห่งอนาคต: ทางรอดของธุรกิจและโลก

ทั้ง 5 เทรนด์นี้ไม่ใช่แค่แนวโน้ม แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจริง และกำลังกำหนดอนาคตของอุตสาหกรรมพลังงานทั่วโลก การมีพลังงานที่มั่นคง ยืดหยุ่น และลดคาร์บอนได้จริง เป็นรากฐานสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืน

ข่าวล่าสุด

ถ่ายทอดสด ซันเดอร์แลนด์ พบ นิวคาสเซิ่ล พรีเมียร์ลีก วันนี้ 14 ธ.ค.68