posttoday

เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

05 กรกฎาคม 2568

นาโนเทค สวทช. ต่อยอดขยะเปลือกหอยเป็นสารหน่วงไฟ พัฒนาเป็นสีทาภายในอาคาร ลดความเสี่ยงอัคคีภัยในศูนย์เด็กเล็ก พื้นที่นำร่องคลองเตย ขยายผลทั่วประเทศ

เปลี่ยนขยะเป็นเกราะป้องกันไฟ: นวัตกรรมสารหน่วงไฟจากเปลือกหอย สู่สีทาอาคารเพื่อความปลอดภัยในโรงเรียน

ในยุคที่การจัดการขยะและการพัฒนาอย่างยั่งยืนไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็นทางรอดของสังคม "นวัตกรรมจากขยะอาหาร" กำลังก้าวสู่เวทีหลักของการแก้ปัญหาสำคัญระดับประเทศ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือการพัฒนาสารหน่วงไฟจาก "เปลือกหอยเหลือทิ้ง" สู่โครงการเพื่อความปลอดภัยในโรงเรียน "โรงเรียนปลอดภัย ห่างไกลอัคคีภัย"
 

เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

ดร. อุรชา รักษ์ตานนท์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กล่าวว่า สวทช. เป็นขุมพลังหลักของประเทศในการใช้ประโยชน์จากวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม (วทน.) ของรัฐ เอกชน และชุมชน เพื่อพัฒนาและสร้างความเข้มแข็งของระบบนิเวศวิจัยและนวัตกรรมให้ตอบโจทย์ และปัญหาที่สำคัญของประเทศ นาโนเทคเองก็มุ่งมั่นใช้ประโยชน์นาโนเทคโนโลยีขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมและพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน 

“ความร่วมมือกันในครั้งนี้ เป็นการต่อยอดใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย เพิ่มมูลค่าให้กับขยะอินทรีย์อย่างเปลือกหอยร่วมกับภาคเอกชนที่มองเห็นโอกาสในการนำ วทน. ผสานกับจุดแข็งของแต่ละภาคส่วน สร้างนวัตกรรมที่ตอบความต้องการของชุมชน สังคม สิ่งแวดล้อม และประเทศอย่างยั่งยืน”

เปลือกหอย: ของเสียที่กลายเป็นวัตถุดิบชั้นสูง

เบื้องหลังโครงการนี้คือการวิจัยและพัฒนาของทีมจากศูนย์นาโนเทคโนโลยีแห่งชาติ (นาโนเทค) ภายใต้สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่ได้คิดค้นวิธีแปรรูปเปลือกหอย—ซึ่งเป็นขยะอินทรีย์ที่มักถูกมองข้าม—ให้กลายเป็น นาโนแคลเซียมคาร์บอเนต และ นาโนแคลเซียมไฮโดรเจนฟอสเฟต ซึ่งเป็นสารตั้งต้นสำหรับผลิต "สารหน่วงไฟ" ที่มีประสิทธิภาพสูง
เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

กระบวนการนี้ไม่เพียงสร้างมูลค่าใหม่จากของเสีย แต่ยังยกระดับเปลือกหอยให้เป็นวัสดุขั้นสูงที่นำไปใช้ได้หลากหลาย ทั้งในรูปแบบของสารเคลือบ พอลิเมอร์ หรือวัสดุพิมพ์สามมิติ โดยสารหน่วงไฟที่ได้สามารถดับไฟได้เองภายใน 10 วินาทีตามมาตรฐาน UL94 V-0 และไม่มีการเกิดเปลวไฟหยด ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับอาคารที่มีผู้ใช้งานกลุ่มเปราะบาง เช่น ศูนย์เด็กเล็ก หรือสถานพยาบาล

เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

ดร. วรวัฒน์ ชัยยศบูรณะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทสีเบเยอร์ กล่าวว่า เบเยอร์มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้วยหัวใจของนวัตกรรม เพื่อส่งมอบสุขภาวะที่ดีและการปกป้องที่มากกว่าสำหรับผู้อยู่อาศัยภายในอาคาร เราจึงเลือก BegerCool All-Plus Interior ซึ่งนอกจากจะช่วยลดอุณหภูมิและหน่วงไฟได้ในตัว

จากขยะบนโต๊ะอาหาร สู่กำแพงสีปลอดภัย

เปลือกหอยที่นำมาใช้ส่วนใหญ่ได้รับจากโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ซึ่งมีขยะเปลือกหอยนางรมเหลือทิ้งมากถึง 1 ตันต่อเดือน จากห้องอาหารบุฟเฟ่ต์ เมื่อรวมกับความร่วมมือของบริษัทสีอย่าง เบเยอร์ จึงเกิดเป็นนวัตกรรม "สีทาภายในอาคารแบบหน่วงไฟ" ที่ไม่ใช่แค่ปกป้องจากไฟ แต่ยังลดอุณหภูมิภายในห้องได้ในตัว เช่นผลิตภัณฑ์ BegerCool All-Plus Interior ที่ใช้ในการทาศูนย์เด็กปฐมวัยเมอร์ซี่ เขตคลองเตย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่นำร่องของโครงการ

เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

นวัตกรรมที่ตอบโจทย์จริง ไม่ใช่แค่ในห้องแล็บ

จุดเด่นของโครงการนี้ ไม่ได้อยู่แค่ในงานวิจัยที่มีประสิทธิภาพ แต่ยังอยู่ที่ การทำงานร่วมกันระหว่างหลายภาคส่วน — จากนักวิจัย ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรม ผู้ผลิตสี ไปจนถึงภาครัฐและชุมชน — ที่ช่วยกันผลักดันนวัตกรรมให้กลายเป็นจริงในพื้นที่ชุมชน ไม่ใช่แค่แนวคิดในห้องปฏิบัติการ

จากการแยกขยะตั้งแต่ต้นทางอย่างมีระบบ สู่การวิจัยแปรรูปเป็นสารหน่วงไฟ และการผลิตสีหน่วงไฟเพื่อใช้จริงในอาคาร โครงการนี้แสดงให้เห็นว่าการจัดการของเสียอย่างมีเป้าหมายสามารถสร้าง “นวัตกรรมที่ใช้ได้จริง” ในบริบทของปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมที่กำลังเผชิญหน้า

เปลี่ยนเปลือกหอยเป็นสีหน่วงไฟ ยกระดับความปลอดภัยโรงเรียนชุมชน

ทางเลือกใหม่ของการจัดการความเสี่ยงอัคคีภัย

ในประเทศไทยที่ยังมีเหตุเพลิงไหม้ในชุมชนและศูนย์เด็กเล็กเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การมีวัสดุอาคารที่ช่วยลดความเสี่ยงจากต้นเหตุอย่างไฟฟ้าลัดวงจร หรือการลุกลามของไฟ คือก้าวสำคัญในการออกแบบเมืองและพื้นที่ปลอดภัย

โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐาน โครงการนี้คือโมเดลที่สามารถขยายผลได้จริง  - ไม่เพียงแต่ในกรุงเทพฯ แต่ยังรวมถึงชุมชนเมืองหรือชนบททั่วประเทศ

"ของเสียไม่ใช่แค่เรื่องของสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่มันคือทรัพยากรใหม่ที่สามารถช่วยชีวิตคนได้"

การต่อยอดนวัตกรรมเช่นนี้แสดงให้เห็นว่า การวิจัยที่ดีไม่ใช่แค่สร้างองค์ความรู้ แต่ต้องสามารถ “ตอบโจทย์สังคม” ได้จริง และที่สำคัญ — ต้องเกิดจากความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่หลากหลาย เพื่อให้ความยั่งยืนไม่ใช่แค่คำพูดสวยงาม แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันในรูปธรรมที่สุด
 

ข่าวล่าสุด

ครบรอบ 20 ปี National ITMX "กระดูกสันหลัง" แห่งระบบนิเวศการเงินไทย สู่อนาคตดิจิทัลไร้พรมแดน