posttoday

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

27 มิถุนายน 2568

เปิดเส้นทางเที่ยวใหม่ “อีสานใต้” บุรีรัมย์–สุรินทร์–ศรีสะเกษ ด้วยพลังโมบิลิตี้ดาต้า ปั้นคลัสเตอร์เส้นทางภูเขาไฟ ดึงนักท่องเที่ยวสู่เมืองรอง

นโยบายเที่ยวไทยคนละครึ่ง เริ่มขึ้นแล้ว โดยประชาชนจะเริ่มใช้สิทธิ์ท่องเที่ยวได้ตั้งแต่วันที่ 4 ก.ค. – 31 ต.ค. 2568 ซึ่งจะได้รับสิทธิ์ในการเที่ยวเมืองหลัก 3 สิทธิ์ และ เที่ยวเมืองรอง 2 สิทธิ์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวหลังจากที่พบว่านักท่องเที่ยวจีนซึ่งเคยเป็นนักท่องเที่ยวหลักมาเที่ยวประเทศไทยลดลง

จากสถิติของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ปี 2567  พบว่า มูลค่าการท่องเที่ยวยังคงกระจุกตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ 38.22% และอีก 33.94 % กระจุกตัวอยู่ 5 จังหวัด คือ ชลบุรี ภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และ สุราษฎร์ธานี ความท้าทายคือ ประเทศไทยจะสามารถดึงดูดให้เมืองรองมีพลังในการเรียกเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวเพื่อกระจายรายได้และเพิ่มรายจ่ายต่อทริปได้หรือไม่

บิ๊ก ดาต้า จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อวางแผนกลยุทธ์ด้านการท่องเที่ยว แต่ปัญหาคือ ข้อมูลที่เก็บยังเป็นเพียงข้อมูลดิบที่แต่ละหน่วยงาน หรือ แต่ละจังหวัด เก็บแยกออกจากกัน “เราจะรู้ตัวเลขนักท่องเที่ยวแค่แต่ละจังหวัด”

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ทำให้เกิดแนวคิดในการนำข้อมูลการเคลื่อนที่ของนักท่องเที่ยวจากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ มาออกแบบการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ เพื่อสร้างพลังดึงดูดให้นักท่องเที่ยวหันมาเที่ยวประเทศไทยในรูปแบบใหม่ๆ เฉกเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ที่แนวคิดนี้ได้ขับเคลื่อนไปไกลกว่าประเทศไทยแล้ว

Mobility Data วิเคราะห์แม่นยำจากจุดเริ่มถึงปลายทาง

“ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย” นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า การวางแผนพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยวมักพบกับคำถามสำคัญ ได้แก่ “รูปแบบการจับกลุ่มจังหวัดควรมีลักษณะอย่างไร”  “สถานการณ์การท่องเที่ยวในแต่ละคลัสเตอร์เป็นอย่างไร” และ “การพัฒนาการท่องเที่ยวในแต่ละคลัสเตอร์ควรดำเนินการอย่างไร”

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ในอดีตการตอบคำถามเหล่านี้ทำได้ยาก เนื่องจากการขาดแคลนข้อมูลที่สามารถบ่งชี้รูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มอย่างชัดเจน ทำให้นโยบายคลัสเตอร์การท่องเที่ยวมักต้องจัดกลุ่มคลัสเตอร์โดยการลองผิดลองถูกจากประสบการณ์ และเป็นเรื่องยากที่จะประเมินผลลัพธ์จากการดำเนินการ เนื่องจากข้อจำกัดในแง่วิธีการและงบประมาณสำหรับการจัดเก็บข้อมูลการเดินทางของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

แต่ในปัจจุบัน ข้อมูลการใช้บริการโทรศัพท์มือถือช่วยให้เราทำความเข้าใจข้อมูล ซึ่งบ่งบอกถึงพฤติกรรมการเดินทางและพื้นที่กระจุกตัวของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่มในแต่ละช่วงเวลา (mobility data) ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากข้อมูลดังกล่าวสามารถให้ความแม่นยำและชัดเจนของจุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง  ปริมาณการเดินทาง ลักษะของผู้เดินทาง รวมถึงลักษณะการกระจุกตัวของนักท่องเที่ยวในแต่ละพื้นที่ ซึ่งทำให้เราเข้าใจประเด็นการพัฒนาการท่องเที่ยวในเมืองรองได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ภาคีภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จึงร่วมมือจัดทำ โครงการ “การกระตุ้นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในเมืองน่าเที่ยว (เมืองรอง) ผ่านการส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์ จากการวิเคราะห์ mobility data” โดยความร่วมมือระหว่าง ทรูคอร์ปอเรชั่น ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านการออกแบบเพื่อสังคม (Social Design Lab) คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ภายใต้การสนับสนุนของ กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม .(อว.) สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (บพข.) เพื่อหาแนวทางออกแบบนโยบายสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ สร้างความแข็งแกร่งให้อุตสาหกรรม 

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า การพัฒนาคลัสเตอร์การท่องเที่ยว คือ การจัดกลุ่มจังหวัดที่ควรร่วมกันพัฒนาเส้นทางการเดินทางและบริการเพื่อเพิ่มศักยภาพการดึงดูดการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่หลายประเทศใช้เพื่อส่งเสริมการกระจายนักท่องเที่ยวไปสู่พื้นที่ใหม่ที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่เคยเดินทางไปหรืออาจจะยังไม่มีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวมากนัก

คลัสเตอร์การท่องเที่ยวอาจเป็นการจับกลุ่มกันระหว่างจังหวัดที่เป็นเมืองหลักกับเมืองรองโดยรอบ หรืออาจเป็นการจับกลุ่มระหว่างเมืองรองที่ยังขาดพลังในการดึงดูดการท่องเที่ยว 

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้นำข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือจากผู้ใช้ที่ยินยอมให้ใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะและผ่านการเข้ารหัส (encrypted data) เพื่อไม่ระบุตัวตน จำนวน 25 ล้านบัญชีต่อเดือนสำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย และกว่า 80,000 บัญชีต่อเดือนสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ครอบคลุมระยะเวลา 1 ปี ตั้งแต่ 1 สิงหาคม 2566 ถึง 31 กรกฎาคม 2567 เพื่อวิเคราะห์การเดินทางท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวแต่ละกลุ่ม

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร ณัฐพงศ์ พันธ์น้อย นักวิจัยจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ข้อมูลการวิเคราะห์ mobility data สำหรับการค้นหาคลัสเตอร์กลุ่มจังหวัดการท่องเที่ยวของเมืองรองต้องอาศัยข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือที่สามารถประมวลผลเป็นข้อมูล 4 รูปแบบ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการวางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการท่องเที่ยว ได้แก่ 

1.    รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยว (travel patterns) หมายถึง รูปแบบและระยะเวลาที่ใช้ในการเดินทางของนักท่องเที่ยวตั้งแต่ออกจากถิ่นที่อยู่ไปจนถึงจุดหมายปลายทาง 

2.    ลักษณะนักท่องเที่ยว (tourist attributes) ได้แก่ ช่วงวัย เพศ ถิ่นที่อยู่ และความสนใจ

3.    พื้นที่กระจุกตัวของนักท่องเที่ยว (concentration of tourist flows in destination) ซึ่งข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ตั้งแต่ระดับประเทศจนถึงระดับแหล่งท่องเที่ยว

4.    ช่วงเวลา (period and time) ข้อมูลการใช้โทรศัพท์มือถือทำให้สามารถวิเคราะห์ mobility data ของนักท่องเที่ยวได้อย่างละเอียดในระดับชั่วโมง ทั้งในช่วงกลางวันและกลางคืน 

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

6 คลัสเตอร์เที่ยวไทยกระจายเม็ดเงินสู่เมืองรอง

ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิควิธีการวิเคราะห์เครือข่าย (network analysis) เพื่อวิเคราะห์ mobility data ของนักท่องเที่ยวเพื่อค้นหาการเครือข่ายการเดินทางระหว่างจังหวัดเมืองรองกับจังหวัดโดยรอบ พบว่ารูปแบบการเดินทางของนักท่องเที่ยวสามารถจับกลุ่มคลัสเตอร์ได้ทั้งหมด 21 กลุ่มจังหวัด  นักวิจัยได้นำข้อมูลจำนวนนักท่องเที่ยว  รายได้จากการท่องเที่ยว  ปริมาณการเดินทางระหว่างจังหวัด  และระยะเวลาการพำนักของจังหวัดในแต่ละคลัสเตอร์มาวิเคราะห์เพื่อค้นหาคลัสเตอร์ที่มีศักยภาพสูงในการส่งเสริมการกระจายการท่องเที่ยวไปสู่เมืองรอง

จึงได้คัดเลือก 6 คลัสเตอร์มาเป็นพื้นที่นำร่อง ประกอบด้วย

เชียงใหม่-ลำปาง-ลำพูน สำหรับภาคเหนือ  

บุรีรัมย์ - สุรินทร์ – ศรีสะเกษ สำหรับภาคอิสาน  

ชัยนาท-สุพรรณบุรี-อุทัยธานี สำหรับภาคกลาง  

จันทบุรี – ตราด  สำหรับภาคตะวันออก  

สมุทรสาคร – สมุทรสงคราม-เพชรบุรี – ประจวบคีรีขันธ์ สำหรับภาคตะวันตก

นครศรีธรรมราช- พัทลุง สำหรับภาคใต้ 

จาก 6 คลัสเตอร์ นำมาสู่เส้นทางท่องเที่ยว 6 วัฒนธรรมใน 6 ภาค เพื่อสำรวจรากวัฒนธรรมไทย ประกอบด้วย

1.    Food Route เส้นทางกินเพื่อรู้จักวัฒนธรรมอาหารภาคตะวันออกที่จันทบุรีและตราด 

2.    Lanna Culture Route เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมล้านนา ผ่านสถาปัตยกรรม ศิลปะ และอาหารของเชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง

3.    Volcano Route เส้นทางสำรวจวัฒนธรรมที่เกิดจากภูเขาไฟในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ

4.    River Route เส้นทางเรียนรู้วัฒนธรรมที่สัมพันธ์กับสายน้ำของสุพรรณบุรี อุทัยธานี และชัยนาท

5.    Flavour Route เส้นทางที่จะพาไปรู้จักรสชาติของวัตถุดิบอาหารในพื้นที่สมุทรสาคร สมุทรสงคราม เพชรบุรี และประจวบคีรีขันธ์

6.    Nature Route เส้นทางที่จะพาไปรู้จัก และสัมผัสธรรมชาติของนครศรีธรรมราชและพัทลุง

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

เที่ยวอีสานใต้ ไม่หวั่นโลว์ซีซั่น

โพสต์ทูเดย์ ได้ลงพื้นที่ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อตามติดโชว์เคส อีสานใต้ บุรีรัมย์ - สุรินทร์ – ศรีสะเกษ กับการออกแบบเที่ยวบนเส้นทางภูเขาไฟ ซึ่งจากข้อมูลของ mobility data พบว่า เป็นคลัสเตอร์ที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนน้อย แต่มีระยะเวลาท่องเที่ยวในแต่ละจังหวัดยาวนานกว่าคลัสเตอร์อื่นในประเทศไทย

“ณัฐพงศ์ ” เล่าว่า จากข้อมูลพบว่า คลัสเตอร์นี้ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของนักท่องเที่ยวอยู่ในระดับต่ำมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคลัสเตอร์อื่น โดยอยู่ที่ 1,140 บาท/คน/วัน โดยมีการพักค้างในจังหวัดศรีสะเกษน้อยที่สุดอยู่ที่ 26.12 % รองลงมาคือสุรินทร์ 31.25% และมากที่สุดในบุรีรัมย์ 42.62 

บุรีรัมย์เป็นเมืองศูนย์กลาง สุรินทร์มีแนวโน้มเป็นเมืองทางผ่าน เนื่องจากมีจำนวนท่องเที่ยวภายในจังหวัดน้อยที่สุด แต่มีปริมาณการเดินทางไปสู่จังหวัดอื่นมากที่สุด

ทั้งนี้ ช่วงเดือน พ.ค. - ก.ย. มีจำนวนนักท่องเที่ยวน้อยกว่าช่วงอื่น โดยพื้นที่ดึงดูดการท่องเที่ยวกระจัดกระจายในทั้งสามจังหวัด ประกอบด้วยปราสาทหินและแหล่งท่องเที่ยวประวัติศาสตร์  สถานที่ท่องเที่ยวทางน้ำ ศาสนสถาน และชุมชน นักท่องเที่ยวที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี นิยมในการเล่นเกม กีฬา และอาหาร มีแนวโน้มกระจุกตัวอยู่ในบริเวณสนามกีฬาในเมืองบุรีรัมย์

ดังนั้นการออกแบบการท่องเที่ยว ต้องพัฒนาเส้นทางการท่องเที่ยวที่สามารถสร้างอัตลักษณ์ร่วมกันระหว่างจังหวัดในคลัสเตอร์ นั่นคือ เส้นทางภูเขาไฟ เนื่องจาก ทั้งบุรีรัมย์ สุรินทร์ และ ศรีสะเกษ เป็นพื้นที่ภูเขาไฟ ทำให้ปราสาทที่น่าท่องเที่ยวหลายที่ อาทิ ปราสาทพนมรุ้ง เนื่องจากในสมัยโบราณการสร้างปราสาทต้องสร้างบนยอดภูเขาเพื่อให้สามารถบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อได้

นอกจากนี้ ยังต้องมีการพัฒนากิจกรรม สินค้า บริการ และการสื่อสารเพื่อดึงดูดการท่องเที่ยวทั้งจากผู้อยู่อาศัยในภูมิภาคอิสานและภูมิภาคอื่นๆ รวมถึงการพัฒนากิจกรรม สินค้า และบริการที่เพิ่มมูลค่าการจับจ่ายใช้สอยสำหรับผู้มาเยือน 

การพัฒนากิจกรรม สินค้า และบริการเพื่อเพิ่มศักยภาพการดึงดูดนักท่องเที่ยววัยรุ่นและวัยทำงานตอนต้น ที่ชื่นชอบการเล่นเกม การแข่งขันกีฬา และการลิ้มลองอาหารอิสาน เช่น การพัฒนาการท่องเที่ยวรองรับการแข่งขัน e-sport  กิจกรรมกีฬาและนันทนาการในพื้นที่มรดกทางวัฒนธรรม  เทศกาลที่ผนวกการแข่งขันและวัฒนธรรมอาหารพื้นถิ่น เป็นต้น

สัมผัสเส้นทางภูเขาไฟแห่งอีสานใต้

ภูเขาไฟ คือ สิ่งเชื่อมโยงของอีสานใต้ ทั้ง บุรีรัมย์ สุรินทร์ และ ศรีสะเกษ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีภูเขาไฟ ทำให้คลัสเตอร์ Volcano Route เส้นทางสำรวจวัฒนธรรมที่เกิดจากภูเขาไฟในบุรีรัมย์ สุรินทร์ และศรีสะเกษ เกิดขึ้น ทำให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวนานขึ้น 3 วัน 2 คืน กระจายจากเมืองหลักไปสู่เมืองรอง

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร ปราสาทพนมรุ้งและทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์

เริ่มจากการเที่ยวปราสาทพนมรุ้ง พร้อมฟังเรื่องเล่าภูเขาไฟในอีสาน โดย ปราสาทพนมรุ้ง  ตั้งอยู่บนยอดภูเขาไฟที่ดับแล้วในจังหวัดบุรีรัมย์ และเป็นศาสนสถานในศาสนาฮินดูที่สร้างขึ้นตามคติเขาไกรลาส จุดประสงค์เพื่อเป็นที่ประทับของพระศิวะ ผู้คนอยู่อาศัยในบริเวณนี้มาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาตุจากภูเขาไฟ และยังสามารถเห็นปากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งปัจจุบันถูกดัดแปลงให้กลายเป็นบ่อน้ำ

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร ปากปล่องภูเขาไฟ

จากนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปทำกิจกรรมย้อมผ้าจากโคนใต้บาราย ณ บ้านโคกเมือง ภูมิปัญญาชาวบ้านในการทำผ้า และย้อมโคลน พร้อมเก็บผลงานเป็นของที่ระลึก จากนั้นชาวบ้านจะมีรถอีแต๋นให้บริการเดินทางแบบขึ้นเขา ลัดเลาะเส้นทางป่าเขา เพื่อขึ้นไปชม ปราสาทปลายบัด ซึ่งเป็นปราสาทที่ไม่มียอดปราสาท และยังหาสาเหตุไม่ได้ว่าทำไมถึงสร้างไม่เสร็จ

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร “โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร “โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร การย้อมผ้าด้วยสีธรรมชาติและหมักโคลนเพื่อเพิ่มความนุ่ม

เมื่อสัมผัสบรรยากาศด้านบนเสร็จ รถอีแต๋นจะพาลงมาด้านล่างเพื่อชมความสวยงามของปราสาทเมืองต่ำ ที่เชื่อว่าเป็นเหมือนสถานที่ทำพิธีกราบไหว้บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของคนที่อาศัยอยู่โดยรอบ และมื้อเย็นกับการรับประทานอาหารริมบารายโบราณ แหล่งเก็บน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นในสมัยอาณาจักรขอม เพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคและการเกษตร ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดใหญ่ ก่อนกลับเข้าที่พัก

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร ปราสาทปลายบัด

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ปราสาทเมืองต่ำ

เช้าวันที่ 2 ออกเดินทางไปสุรินทร์ เรียนรู้การทอผ้ายกทอง ที่โรงทอผ้าไหมยกทองจันทร์โสมา มีจุดเริ่มต้นจากเมื่อครั้งที่ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง มีพระราชเสาวนีย์ให้อาจารย์สมิทธิ ศริภัทร์ และคุณหยิงปิยาภัสร์ ภิรมย์ภักดี หาวิธีผลิตผ้าไหมให้มีเนื้อนุ่มเนียน คุณภาพเทียบเท่าผ้าไหมโบราณ อาจารย์วีรธรรมจึงได้อาสากลับมารือฟื้นกระบวนการผลิตผ้าไหมของบรรพบุรุษ จนเกิดเป็นแรงบันดาลใจในการฟื้นฟูการทอผ้าแบบราชสำนัก

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร “โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร “โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

การทอผ้าไหมของกลุ่มจันทร์โสมา มีความโดดเด่นที่ความละเอียด และความนุ่มของเนื้อผ้า ที่เกิดจากการเลือกเส้นไหมเส้นเล็กและบางเบา นำมาผ่านกรรมวิธีฟอกต้ม และย้อมด้วยสีธรรมชาติ แม่สีหลัก 3 สี คือ สีแดงจากครั่ง สีเหลืองจากแก่นแกแล และสีครามจากเมล็ดคราม สอดแทรกการยกดอกด้วยไหมทอง ที่ทำจากเงินแท้มารีดเป็นเส้นเล็กๆ ปั่นควบกับเส้นด้าย มีเทคนิคการทอแบบเนื้อ 3 ตะกอ ที่ใช้ตะกอเส้นพุ่งพิเศษที่ทำให้เกิดลายจำนวนตะกอมากกว่าร้อยตะกอ จึงต้องใช้คนทอถึง 4-5 คนต่อผืน

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ความละเอียดของการทอและเนื้องาน ทำให้ต่อวันทอได้แค่ 5-7 เซนติเมตรเท่านั้น ต่อผืนที่มีความยาว 2 เมตร ใช้เวลาประมาณ 2 เดือน ดังนั้น ราคาของผ้าไหมยกทองของจันทร์โสมามีราคาเฉลี่ยถึงเมตรละ 5 หมื่นบาท จนถึงหลักแสนบาท

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

ต่อด้วยมื้อเที่ยง กับ แซตอม ออร์แกนิค ฟาร์ม  เพื่อเรียนรู้พันธุ์ข้าว และเวิร์กช็อปการทำสาโท โดยแซตอม ออร์แกนิค เป็นฟาร์มเกษตรอินทรีย์แห่งแรกที่ปลูกข้าวพื้นเมืองสุรินทร์ โดย สุแทน สุขจิตร เจ้าของแซตอม ออร์แกนิค เล่าว่า นอกจากการจำหน่ายข้าวแล้ว ยังต้องแปรรูปข้าวสู่ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ด้วย ซึ่งตอนแรกคิดจะทำเครื่องสำอาง แต่หน้าไม่ให้ หรือ จะทำน้ำมันรำข้าว แต่ส่วนผสมจำเป็นต้องมีรำข้าว

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

สุดท้ายจึงตัดสินใจทำสาโท ปัจจุบันสาโทของเขาส่งทั่วประเทศทั้งโรงแรม ร้านอาหาร สร้างรายได้เดือนละเกือบแสนบาท นักท่องเที่ยวที่มาจะได้สัมผัสรสชาติข้าวสุรินทร์และการทำสาโทพร้อมดื่มด่ำกับรสชาติที่อร่อยไม่แพ้ต่างชาติ และได้นำสาโทที่ตนเองทำกลับไปทำต่อที่บ้านด้วย

จากนั้น จึงเดินทางไปพักในตัวเมืองสุรินทร์ พร้อมชมเมืองเก่าที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจและศาลหลักเมืองที่ไม่เหมือนที่ไหน จากการบูรณะปรับปรุงรูปแบบศาลหลักเมืองโดยการผสมผสานระหว่างศิลปะแบบเขมรและศิลปะแบบไทยเข้าด้วยกัน

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

วันที่ 3 ออกเดินทาง สู่ ศรีสะเกษ ชมสวนแทนคุณแผ่นดิน ชิมทุเรียนภูเขาไฟ และเยี่ยมชมต้นทุเรียนภูเขาไฟต้นแรก ของศรีสะเกษที่คุณตาเจ้าของสวนนำมาจากจันทบุรี จนทำให้พื้นที่ดินภูเขาไฟโดยรอบกลายเป็นสวนทุเรียนที่นักท่องเที่ยวเดินทางมาจำนวนมาก ซึ่งคำว่า ทุเรียนภูเขาไฟ นั้น เป็นการสร้างแบรนด์จากดินที่ปลูก แต่สายพันธุ์ของทุเรียนนั้น มีทั้ง หมอนทอง และชะนี แต่รสชาติและกลิ่นจะอ่อนกว่า

“โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร “โมบิลิตี้ ดาต้า” ดาต้านำทาง สัมผัส เสน่ห์อีสานใต้ แบบไม่ซ้ำใคร

เมื่อดื่มด่ำกับสวนทุเรียนแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถจองรับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน บ้านป้าเขียว (สีเขียว) กับเมนู ปลาส้มทอด ,ปลาเนื้ออ่อนนึ่ง,เมี่ยงคำ ,ข้าวสวย 3 แบบ และเมนูป่นปลา กับผักพื้นบ้าน ก่อนเดินทางกลับที่สนามบินอุบลราชธานี 

ผลักดันคลัสเตอร์ สู่นโยบายกระตุ้นการท่องเที่ยว

“ณัฐพงศ์ ” กล่าวว่า ขั้นตอนต่อไป จำเป็นอย่างยิ่งในการนำผลการวิเคราะห์ปัญหาและเป้าหมายมาใช้ในการสร้างความร่วมมือระหว่างภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (stakeholder engagement) เพื่อสร้างฉันทามติ (consensus) ในการพัฒนากลยุทธ์การท่องเที่ยวแบบคลัสเตอร์  การดำเนินการจริง  การติดตามประเมินผล  และการปรับปรุงแนวทางการพัฒนาอย่างต่อเนื่องต่อไป 

เพราะ “ผลการวิจัยจะไม่สร้างประโยชน์ได้เต็มที่ หากไม่ถูกนำไปก่อรูปนโยบายและนำไปปฏิบัติใช้จริง” 

ข่าวล่าสุด

ข่าวปลอม เปิดวิธียืนยันตัวตน คนละครึ่งเฟส 2 เสี่ยงดูดข้อมูล-สูญเงิน