สงครามอิสราเอล-กาซา 15 เดือน ปล่อยคาร์บอนหนัก เทียบเท่า 84 โรงไฟฟ้า
สงครามในโลกยุคใหม่ไม่ได้ฆ่าเพียงชีวิตผู้คนเท่านั้น แต่ยังเป็น “ผู้ร้ายเงียบ” ที่เร่งวิกฤตโลกร้อนอย่างรุนแรงเกินกว่าจะจินตนาการได้ ชวนสำรวจ “ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมของสงคราม”
ในขณะที่สายตาโลกจับจ้องไปยังความรุนแรงในฉนวนกาซา ระหว่างกองทัพอิสราเอลและกลุ่มฮามาส รายงานการศึกษาชิ้นหนึ่งกลับเผยให้เห็นมิติที่ถูกมองข้ามมาโดยตลอด นั่นคือ “ต้นทุนทางสิ่งแวดล้อมของสงคราม” โดยเฉพาะปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่สงครามปลดปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศอย่างมหาศาล
งานวิจัยที่เผยแพร่โดย Social Science Research Network เป็นส่วนหนึ่งในการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลต่าง ๆ และธุรกิจรับผิดชอบต่อต้นทุนด้านสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมจากสงครามและการยึดครอง รวมถึงผลกระทบระยะยาวต่อแหล่งที่ดิน อาหาร และน้ำ ตลอดจนการทำความสะอาดและบูรณะใหม่หลังสงคราม
ทีมนักวิจัยจากสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเปิดเผยว่า ปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลในกาซาตลอด 15 เดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เกิดการปล่อยคาร์บอนรวม มากกว่า 1.89 ล้านตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO₂e) ซึ่ง มากกว่าการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อปีของกว่า 100 ประเทศ รวมถึงประเทศกำลังพัฒนาอย่าง หมู่เกาะแปซิฟิก และประเทศในแอฟริกาจำนวนมาก
หากรวมปริมาณการปล่อยคาร์บอนในอนาคตจากการฟื้นฟูสิ่งที่ถูกทำลาย เช่น อาคาร ถนน โครงสร้างพื้นฐาน ฯลฯ จะมีการปล่อยคาร์บอนเพิ่มเติมอีก ราว 29.4 ล้านตัน CO₂e ทำให้สงครามครั้งนี้อาจมี carbon footprint รวมทะลุ 31 ล้านตัน ซึ่งใกล้เคียงกับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกประจำปีของประเทศอย่างอัฟกานิสถานหรือเดนมาร์ก
เปิดโรงไฟฟ้าก๊าซ 84 แห่ง หรือชาร์จมือถือ 2.6 พันล้านเครื่อง?
เมื่อรวมปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในช่วงเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นในฉนวนกาซา เยเมน อิหร่าน และเลบานอน นักวิจัยประเมินว่าต้นทุนด้านสภาพอากาศจากความขัดแย้งเหล่านี้ เทียบเท่ากับการเปิดโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ 84 แห่งนานหนึ่งปี หรือ เท่ากับการชาร์จสมาร์ตโฟนถึง 2.6 พันล้านเครื่อง!
ตัวเลขนี้ยังรวมถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ประมาณ 557,359 ตัน CO₂e จากการก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินโดยกลุ่มฮามาส และการสร้างกำแพงเหล็กที่ใช้ควบคุมและแบ่งเขตโดยอิสราเอลในช่วงการยึดครองฉนวนกาซาอีกด้วย ซึ่งสะท้อนถึง "คาร์บอนแฝง" ที่มาจากการก่อสร้างระบบป้องกันและโครงสร้างที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งโดยตรง
การเปรียบเทียบด้วยภาพที่จับต้องได้ เช่น โรงไฟฟ้าก๊าซ หรือการชาร์จโทรศัพท์ ช่วยให้เราเข้าใจว่าแม้สงครามดูเหมือนเป็นเรื่องเฉพาะพื้นที่ แต่ผลกระทบของมันนั้นแผ่ขยายในระดับโลก ทั้งในเชิงมลพิษและการเร่งเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เครื่องบินรบ รถถัง และการส่งกำลังพล ตัวเร่งคาร์บอนเงียบ
กว่า 99% ของการปล่อยคาร์บอนในสงครามนี้มาจากกิจกรรมของกองทัพอิสราเอล ไม่ว่าจะเป็นการบินของเครื่องบินรบที่ปล่อย CO₂ จำนวนมาก การเคลื่อนย้ายรถถังและยานพาหนะทางทหาร การใช้กระสุนและระเบิด ไปจนถึงปฏิบัติการทางเรือและทางบกที่กินพลังงานสูงมหาศาล
อีกหนึ่งแหล่งปล่อยคาร์บอนที่น่าสนใจคือ การขนส่งอาวุธและเสบียงจากประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและประเทศยุโรป ซึ่งส่งอาวุธทางเครื่องบินและเรือ โดยเฉพาะการเดินทางระยะไกลหลายพันกิโลเมตร ส่งผลให้การขนส่งเหล่านี้ปล่อย CO₂ คิดเป็น 30% ของทั้งหมด
ในขณะเดียวกัน ระบบไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ในกาซา ซึ่งเคยผลิตไฟฟ้าได้ถึง 25% ของความต้องการทั้งหมด กลับถูกทำลายจากการโจมตี ทำให้ประชาชนต้องหันไปพึ่งพาเครื่องปั่นไฟดีเซล ซึ่งปล่อย CO₂ อย่างต่อเนื่องโดยไม่มีระบบควบคุมใด ๆ เพิ่มการปล่อย CO₂e อีกกว่า 130,000 ตัน
ความเสียหายระยะยาว ฟื้นฟูโครงสร้าง = ฟื้นวิกฤตคาร์บอน
นอกจากความเสียหายทางร่างกายและชีวิต สิ่งที่เหลืออยู่หลังสงครามคือภูเขาเศษซากอาคาร สะพาน และระบบสาธารณูปโภคที่ถูกทำลาย ซึ่งมีน้ำหนักรวมประมาณ 60 ล้านตัน การเคลื่อนย้ายซากเหล่านี้และการก่อสร้างสิ่งใหม่จะใช้พลังงานสูงมาก ทั้งในรูปแบบของปูนซีเมนต์ เหล็ก การขนส่ง และพลังงานจากฟอสซิล ซึ่งจะเพิ่มรอยเท้าคาร์บอนอีกนับสิบล้านตัน
คาดการณ์ว่ากระบวนการฟื้นฟูทั้งหมดจะปล่อย CO₂e เพิ่มอีกถึง 29.4 ล้านตัน ซึ่งเพียงพอจะทำให้สงครามครั้งนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพอากาศอย่างใหญ่หลวงที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ แม้สงครามกาซาจะมีขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับสงครามอิรักหรืออัฟกานิสถาน แต่ อัตราการปล่อยคาร์บอนต่อระยะเวลาถือว่าสูงอย่างน่าตกใจ เมื่อคิดเฉลี่ยต่อเดือน สงครามกาซาปล่อย CO₂ สูงกว่าสงครามอื่นหลายเท่า
เมื่อการปล่อยคาร์บอนไม่ถูกนับรวม
ที่น่ากังวลคือ การปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมทางทหารนั้น ไม่อยู่ในขอบเขตรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสมาชิก UNFCCC เพราะการทหารถูกยกเว้นจากการรายงานภายใต้ข้อตกลงปารีส ทำให้การปล่อย CO₂ จำนวนมหาศาลจากสงคราม หายไปจากสมการโลกร้อน อย่างสิ้นเชิง
ทีมนักวิจัยจึงเสนอให้มีการใช้แนวทางใหม่ที่เรียกว่า “Scope 3+” เพื่อให้สามารถวัดผลและติดตามการปล่อยคาร์บอนจากกิจกรรมทางทหารและความขัดแย้งอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อโลกกำลังเร่งดำเนินการเพื่อลดคาร์บอนในทุกภาคส่วน แต่ปล่อยให้ “สงคราม” เป็นช่องโหว่ที่ไม่ถูกแตะต้อง
สงคราม = อาชญากรรมต่อสิ่งแวดล้อม?
ด้วยบริบทเช่นนี้ คำว่า "Ecocide" หรือ "อาชญากรรมต่อระบบนิเวศ" จึงเริ่มได้รับการพูดถึงมากขึ้นในเวทีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะเมื่อสงครามสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศ ป่าไม้ แหล่งน้ำ และอากาศบริสุทธิ์อย่างไม่อาจเยียวยา
มีการเสนอให้จัดให้ “การทำสงครามที่ส่งผลเสียร้ายแรงต่อสภาพภูมิอากาศ” เป็นหนึ่งใน “อาชญากรรมระหว่างประเทศ” เช่นเดียวกับอาชญากรรมสงครามหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เพื่อผลักดันให้รัฐบาลต้องคิดให้หนักก่อนตัดสินใจใช้กำลัง
เราจะปล่อยให้สงครามกลืนโลกไปเงียบ ๆ อีกนานแค่ไหน?
การศึกษานี้ไม่เพียงชี้ให้เห็นตัวเลขของคาร์บอนที่น่าสะพรึงกลัว แต่ยังชี้ให้เราเห็นว่า "สงครามไม่ใช่เรื่องของมนุษย์เท่านั้น" แต่คือการทำลายทั้งชีวิต ระบบนิเวศ พลังงานสะอาด และอนาคตของมนุษยชาติในเวลาเดียวกัน
ท่ามกลางการต่อสู้เพื่อหยุดโลกร้อน สงครามกลับกลายเป็นตัวเร่งวิกฤตเงียบที่ยังไม่มีใครพูดถึงอย่างจริงจัง ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราควรเรียกร้องให้ “สงคราม” ไม่ได้ฆ่าแค่ชีวิต แต่ต้องรับผิดชอบในฐานะ “ฆาตกรของโลกใบนี้” ด้วยเช่นกัน
อ้างอิง: Carbon footprint of Israel’s war on Gaza exceeds that of many entire countries


