ผู้เชี่ยวชาญแนะรัฐงัด KYC อุดช่องฟอกเงิน Entertainment Complex
สยบทุกความกังวล! ผู้เชี่ยวชาญแนะรัฐงัดระบบ KYC คุมฟอกเงินใน "สถานบันเทิงครบวงจร" Entertainment Complex ซัดกลุ่มค้านทำประเทศเสียโอกาส
เมื่อโครงการ "เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์" หรือสถานบันเทิงครบวงจร กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมจับตา นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ได้ออกมาให้มุมมองและข้อเสนอแนะที่น่าสนใจถึงรัฐบาล
พร้อมชี้เป้ากลุ่มคัดค้านที่อาจมองไม่เห็นภาพรวม หรือกำลังกังวลว่าจะเสียประโยชน์จากเมกะโปรเจกต์นี้
ดร.ณรงค์ชัย ใหญ่สว่าง นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพอินเตอร์ คือหนึ่งในผู้ที่ติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด โดยมีข้อเสนอสำคัญ 2 ประการถึงรัฐบาล ก่อนนำร่างกฎหมายเข้าสู่การพิจารณาของสภา
1. เร่งสื่อสาร "ไม่ใช่แค่กาสิโน" ต้องทำให้สังคมเข้าใจภาพรวม
ข้อเสนอแรกที่ ดร.ณรงค์ชัย เน้นย้ำคือ การสื่อสารกับประชาชน รัฐบาลต้องทำให้ชัดเจนว่าโครงการ Entertainment Complex นั้น ไม่ใช่แค่บ่อนกาสิโน แต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ที่มีองค์ประกอบหลากหลาย
ทั้งโรงแรมหรู ศูนย์การค้า แหล่งรวมความบันเทิง การประชุมสัมมนา และอื่นๆ อีกมากมาย โดยส่วนของกาสิโนเป็นเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้น
"รัฐบาลต้องสื่อสารให้ประชาชนเข้าใจว่านี่คือ Entertainment Complex ที่มีองค์ประกอบครบวงจร ไม่ใช่แค่กาสิโน"
ดร.ณรงค์ชัย กล่าว พร้อมเสนอแนะให้รัฐบาลจัดเวทีสาธารณะเพื่อรับฟังความคิดเห็น อธิบายมาตรการ และขั้นตอนต่างๆ อย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความเข้าใจและการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน
2. งัดระบบ KYC อุดช่องโหว่ความกังวลเรื่องฟอกเงิน
ประเด็นที่สองซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเชื่อมั่นคือ มาตรการควบคุมที่รัดกุม ดร.ณรงค์ชัย เสนอให้รัฐบาลประกาศใช้ระบบ KYC (Know Your Customer) อย่างเข้มงวด ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบตัวตนและประวัติของผู้เข้าใช้บริการ
นอกจาก KYC แล้ว ยังต้องมีมาตรการอื่นๆ เสริม เช่น การตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงทางการเมือง (PEP - Politically Exposed Persons) มาตรการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินอย่างจริงจัง รวมถึงการใช้ระบบ Digital Footprint เพื่อติดตามธุรกรรมต่างๆ
"ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจว่าโครงการนี้จะไม่นำไปสู่ปัญหาการฟอกเงินหรือปัญหาสังคมอื่นๆ" ดร.ณรงค์ชัย ชี้และแนะนำให้ศึกษาโมเดลจากประเทศที่ประสบความสำเร็จและมีมาตรการเข้มงวด เช่น สิงคโปร์
มองทะลุกลุ่มคัดค้าน: ใครได้ ใครเสีย?
ดร.ณรงค์ชัย ยังได้วิเคราะห์ถึงเบื้องหลังของกลุ่มผู้ที่ออกมาคัดค้านโครงการนี้อย่างน่าสนใจ โดยแบ่งออกเป็นหลายกลุ่ม:
- "หน้าเดิมๆ" ผู้ค้านทุกโครงการของรัฐ: กลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มเดิมที่ออกมาคัดค้านนโยบายหรือโครงการขนาดใหญ่ของรัฐบาลอยู่เสมอ ซึ่งการคัดค้านอย่างไม่เลือกหน้าอาจทำให้ประเทศพลาดโอกาสในการพัฒนาเมกะโปรเจกต์ที่จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ
- นายทุนเพื่อนบ้านผู้เสียประโยชน์: ประเทศเพื่อนบ้านหลายแห่งมีธุรกิจกาสิโนที่พึ่งพานักท่องเที่ยวชาวไทยเป็นหลัก หากไทยมี Entertainment Complex ที่ดึงดูด นักท่องเที่ยว "กระเป๋าหนัก" ที่เคยไปใช้จ่ายในประเทศเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนมาเที่ยวในไทยแทน ซึ่ง ดร.ณรงค์ชัย เปิดเผยว่าในอดีตเคยมีกรณีที่นายทุนต่างชาติสนับสนุนผู้ประท้วงในไทยเพื่อไม่ให้โครงการที่คล้ายกันเกิดขึ้น
- ธุรกิจสีเทาในไทย: ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจการพนันผิดกฎหมายในปัจจุบัน เช่น เจ้ามือหวยใต้ดิน บ่อนไพ่เถื่อน หรือการพนันออนไลน์ผิดกฎหมาย คืออีกกลุ่มที่ได้รับผลกระทบโดยตรง หากธุรกิจเหล่านี้ถูกนำมาอยู่ในระบบที่ถูกกฎหมายพร้อมมาตรการควบคุมที่เข้มงวด ผู้เล่นบางส่วนจะย้ายไปใช้บริการที่ถูกกฎหมาย ทำให้รายได้ของธุรกิจสีเทาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และยังเสี่ยงต่อการถูกปราบปรามมากขึ้นด้วย
KYC เครื่องมือสำคัญ แก้ปัญหาบ่อนเถื่อน
เมื่อเทียบกับบ่อนการพนันผิดกฎหมายในปัจจุบัน ดร.ณรงค์ชัย ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่ชัดเจน คือ ไม่มีมาตรการควบคุมผู้เข้าใช้บริการ ทำให้เยาวชน ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ที่มีปัญหาติดการพนัน สามารถเข้าถึงได้ง่าย นำไปสู่ปัญหาหนี้สิน ปัญหาสังคม และอาชญากรรม
"ถ้าการพนันถูกกฎหมายอยู่ในระบบที่มีการควบคุม เราสามารถจำกัดการเข้าถึงของกลุ่มเสี่ยงได้ชัดเจนกว่า ทั้งเยาวชน ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้ที่มีประวัติติดการพนัน" ดร.ณรงค์ชัย กล่าวเสริม โดยยกตัวอย่างประเทศที่มีมาตรการที่น่าสนใจ เช่น
- สิงคโปร์: มีการตั้งเคาน์เตอร์ตรวจสอบบัตรประชาชน/พาสปอร์ตอย่างเข้มงวด มีการตรวจสอบประวัติ อาชีพ รายได้ และประวัติการพนัน ก่อนอนุญาตให้เข้าใช้บริการ และจำกัดการเข้าสำหรับผู้มีรายได้น้อยหรือติดการพนัน
- ญี่ปุ่น: จำกัดจำนวนวันที่ผู้เล่นสามารถเข้าใช้บริการได้ เพียง 3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อป้องกันการเสพติด
โดยสรุปแล้ว โครงการ Entertainment Complex มีศักยภาพในการเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน และเพิ่มรายได้ให้กับประเทศ
แต่กุญแจสำคัญที่จะปลดล็อกศักยภาพนี้ และสร้างความยอมรับจากสังคม คือ ความโปร่งใสในการสื่อสาร และ การวางมาตรการควบคุมที่เข้มงวดและรัดกุม โดยเฉพาะการนำระบบ KYC และมาตรการป้องกันการฟอกเงินมาใช้อย่างจริงจัง
เพื่ออุดช่องโหว่ที่ทุกคนกังวล และสร้างความเชื่อมั่นว่าโครงการนี้จะนำมาซึ่งประโยชน์มากกว่าปัญหา ดังที่หลายประเทศทั่วโลกได้พิสูจน์มาแล้ว