ท่องไปใน "แกรนด์ ริง" เมืองอนาคต เวิลด์เอ็กซ์โป 2025 โอซาก้า เจแปน

EXPO 2025 OSAKA, KANSAI, JAPAN: ปรากฏการณ์แห่งอนาคต บนเกาะยูเมะชิมะ

แกรนด์ริง (Grand Ring) โครงสร้างไม้ขนาดมหึมาทรงวงแหวน เป็นสัญลักษณ์และไฮไลท์ของงานเวิลด์เอ็กซ์โป 2025 ที่เมืองโอซาก้า ภูมิภาคคันไซ ประเทศญี่ปุ่น ที่กินเนสส์เวิลด์เรคคอร์ดบันทึกไว้เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2025 ว่าเป็น "โครงสร้างสถาปัตยกรรมไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ด้วยขนาดที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 61,035.55 ตารางเมตร มีความยาวของเส้นรอบวงราว 2 กิโลเมตร

 

แกรนด์ริงจะทำหน้าที่เป็นเส้นทางหลักที่เชื่อมโยงพาวิเลียนทั้งหมดของงานเข้าด้วยกัน ช่วยให้ผู้มาเยี่ยมชมสัญจรไปมาได้สะดวก ให้ร่มเงา กันแดดกันฝน บนความมหัศจรรย์อลังการของงานออกแบบไม้ที่สร้างด้วยเทคนิค "นุกิ" แบบดั้งเดิม ที่เรามักเห็นได้จากประตูศาลเจ้าและวัดต่างๆ บนเกาะญี่ปุ่น ผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยแกรนด์ริงจะทำหน้าที่สะท้อนแนวคิด “Unity in Diversity” ความสามัคคีในความหลากหลาย ภายในงานนี้

 

 

หากเดินเข้าไปภายในจะเห็นโครงสร้างไม้สอดประสานขัดต่อกันขึ้นไปเป็นรูปวงกลมขนาดใหญ่ เชื่อมร้อยงานทั้งหมดไว้ด้วยกัน ทั้งพาวิเลียนของญี่ปุ่น ของประเทศต่างๆ และส่วนที่เรียกว่า Signature Pavilions ที่จัดวางตัวเองอยู่ภายในวงแหวน หรือพื้นที่ใจกลางสถานที่จัดงานเอ็กซ์โป ซึ่งนำโดยผู้จัดแสดง 8 ราย (ที่โพสต์ทูเดย์จะนำมาเล่าถึงในตอนต่อไป) พิเศษสุดๆ คือ ผู้เยี่ยมชมงานจะสามารถเดินขึ้นไปชมทิวทัศน์จากมุมสูงได้โดยรอบงานจากวงแหวนยักษ์นี้ ซึ่งทั้งหมดจะนำเสนอประสบการณ์และเรื่องราวอันหลากหลายที่ผสมผสานระหว่างโลกแห่งความจริงและโลกเสมือน กระตุ้นให้ผู้เยี่ยมชมทุกคนสำรวจชีวิต ไปจนถึงปรับเปลี่ยนแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตของตนเอง เพราะงานนี้จัดขึ้นภายใต้แนวคิดอันยิ่งใหญ่ว่า "Designing Future Society for Our Lives" หรือ “ออกแบบสังคมอนาคตเพื่อชีวิตของเรา”

 

 

Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan จัดขึ้นบนเกาะยูเมะชิมะ เกาะเทียมที่ญี่ปุ่นสร้างขึ้นจากพื้นที่ฝังกลบของเสียอุตสาหกรรม และสร้างสรรค์ใหม่ให้เป็น เขตเมืองใหม่ในอนาคต (Smart City) ในเขตเมืองโอซาก้าของภูมิภาคคันไซ

 

งานจัดระหว่างวันที่ 13 เมษายน – 13 ตุลาคม 2025 (รวม 184 วัน) ผู้จัดคือ Japan Association for the 2025 World Exposition บนเนื้อที่รวมแล้วประมาณ 1,550,000 ตารางเมตร หรือเทียบได้กับ ขนาดสนามฟุตบอล 217 สนามเรียงต่อกัน ชัดกว่านั้นก็คือใหญ่กว่าสวนลุมพินี (ขนาด 360,000 ตร.ม.) ราว 4.3  เท่า มีผู้เข้าร่วมจัดแสดงงานมากถึง 158 ประเทศ รวมถึง องค์กรนานาชาติ และคาดว่าจะมีผู้มาเยือนตลอดงานมากกว่า 28 ล้านคน

 

หลักการสำคัญคือการมุ่งเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจและการร่วมมือกันเพื่อพัฒนาแนวคิดและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะช่วยให้มนุษย์มีชีวิตที่ดีขึ้นในอนาคต พร้อมกับการนำเสนอวิธีแก้ปัญหาระดับโลก เช่น สิ่งแวดล้อม การแพทย์ และความเหลื่อมล้ำ

 

 

แบ่งออกเป็น 3 แนวคิดย่อย (Sub-themes) คือ

Saving Lives – นวัตกรรมด้านการแพทย์ สุขภาพ และชีวิตยืนยาว

Empowering Lives – การสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมผ่านเทคโนโลยีและการศึกษา

Connecting Lives – การเชื่อมโยงผู้คน โลก และระบบต่างๆ อย่างยั่งยืน

 

 

งานนี้ยังสำคัญตรงที่เป็นงาน World Expo ครั้งแรกของญี่ปุ่นในรอบกว่า 20 ปี (ครั้งสุดท้ายคือ Aichi Expo 2005) นอกเหนือจากบทบาทในการเป็นเวทีสำคัญสำหรับประเทศต่างๆ ในการแสดงนวัตกรรม ความคิดสร้างสรรค์ และการแก้ปัญหาในระดับโลกแล้ว และยังเป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยวและเทคโนโลยีสำหรับภูมิภาคคันไซและประเทศญี่ปุ่นในอีกทางหนึ่ง

 

 

“People’s Living Lab” สนามทดลองใช้ชีวิตอนาคต

ความพิเศษของโครงสร้างงานทั้งหมดอยู่ภายใต้แนวคิด “People’s Living Lab” คือการให้ผู้เข้าร่วมงานสามารถทดลองใช้ชีวิตในแบบอนาคตจริงๆ ภายใน Grand Ring ซึ่งจะทำหน้าที่เชื่อม Pavilion ทั้งหมดแบบเดินได้โดยรอบ ยิ่งกว่านั้นงานนี้ยังประกาศว่า ระบบภายในงานทั้งหมดเป็น “Zero Emission” คือใช้พลังงานสะอาดทั้งหมด สมเป็นญี่ปุ่นชาติแห่งรายละเอียด เทคโนโลยีและนวัตกรรม

 

Grand Ring และ แผนผังหลักของงาน (Master's Plan) เป็นผลงานออกแบบของ Sou Fujimoto สถาปนิกชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงระดับโลก ฟูจิโมโต้มีผลงานโดดเด่นด้วยแนวคิด “ร่วมสมัยที่แฝงความเป็นธรรมชาติ” เขามักถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ผ่านรูปทรงที่ดูเรียบง่ายแต่แฝงด้วยนัยยะลึกซึ้ง การออกแบบพื้นที่ที่เปิดรับธรรมชาติ และการเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม

 

โครงสร้างไม้สร้างจากไม้ซีดาร์และไซเปรสของญี่ปุ่น (รวมถึงไม้สนสก็อตแลนด์) มีวัตถุประสงค์ในการใช้งานหลักคือ เป็นเส้นทางเดินเท้ารอบสถานที่ ขณะเดียวกันก็ปกป้องผู้มาเยี่ยมชมจากฝนและแสงแดด แต่โครงสร้างนี้ยังได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของไม้ที่เป็นทางเลือกอื่นแทนคอนกรีตที่ปล่อยคาร์บอนสูงอีกด้วย

 

 

“สถานการณ์ทั่วโลกไม่มั่นคงอย่างยิ่ง” ฟูจิโมโต้ ให้สัมภาษณ์กับ CNN และกล่าวว่า
 

“ผมเชื่อว่านี่เป็นโอกาสอันล้ำค่าอย่างยิ่งที่จะแสดงให้เห็นว่าหลายประเทศสามารถมารวมตัวกันในสถานที่แห่งหนึ่งและร่วมกันคิดเกี่ยวกับอนาคตของเรา”

 

เพราะเป้าหมายสำคัญของงานนอกจากการทำหน้าที่เป็นเวทีจัดแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งอนาคต งานนี้ยังตั้งใจโชว์แนวคิดการสร้างสังคมชาญฉลาดแห่งอนาคต (Smart Future Society) หรือ ต้นแบบของสังคมในอนาคตของมนุษย์โดยมีญี่ปุ่น ชาติอุตสาหกรรมเป็นผู้นำ สะท้อนผ่านผู้คนรุ่นใหม่มากมาย ในขณะที่สังคมญี่ปุ่นก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยแซงหน้าใครๆ ไปแล้วหลายช่วงตัว ทำให้น่าสนใจว่าในเจนต่อๆ ไป ญี่ปุ่นจะใช้เทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใดในการนำพาประเทศก้าวไปสู่สังคมแห่งอนาคตที่ว่า

 

 

สัญลักษณ์และมาสคอตของงาน Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan

เรียกความสนใจและสะดุดตาไม่น้อย เพราะแน่นอนว่า ในฐานะประเทศแห่งวัฒนธรรมมังงะ สัญลักษณ์อันโดดเด่นที่ดูเหมือนมีดวงตา 5 ดวงล้อมรอบรอยยิ้ม ย่อมเป็นการออกแบบที่มีความหมายลึกซึ้ง ด้วยสัญลักษณ์นี้ประกอบด้วยวงกลมสีแดงที่เชื่อมต่อกันเป็นรูปวงแหวนไม่สมมาตร โดยมีดวงตาสีขาวอยู่ภายในบางวง สื่อถึง "ความส่องสว่างของชีวิต" ​การออกแบบนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากเซลล์ที่กำลังเติบโตและพัฒนา สะท้อนถึงธีมของงานที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์สังคมแห่งอนาคต นอกจากนี้ โลโก้ยังเป็นพื้นฐานในการสร้างมาสคอตประจำงานชื่อ "Myaku-Myaku" ออกเสียงว่า เมียะคุเมียะคุ ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่สอดคล้องกับโลโก้

 

ความน่าสนใจของ Pavilion ต่างๆ จากทั่วโลก

งาน Expo 2025 จะแบ่งพื้นที่หลักเป็น 3 กลุ่มใหญ่

1.Theme Projects – พาวิเลียนที่จัดโดยเจ้าภาพญี่ปุ่น เช่น:

• Life Pavilion: นำเสนอเรื่องการเกิด แก่ เจ็บ ตาย และความหมายของชีวิต
• Green Pavilion: แสดงวิธีการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน
• Future Pavilion: มองสู่อนาคตแห่งการอยู่ร่วมกันของมนุษย์และเทคโนโลยี

 

และยังมี Women's Pavilion ที่ร่วมมือกับแบรนด์ Cartier จัดโดยสำนักงานคณะรัฐมนตรี กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม และสมาคมญี่ปุ่น ตอกย้ำคำประกาศเจตนารมณ์ที่ว่า “เมื่อผู้หญิงเจริญรุ่งเรือง มนุษยชาติก็เจริญรุ่งเรือง” เพื่อเน้นย้ำว่าพลเมืองโลกทุกคนต้องทำงานร่วมกันเพื่อต่อสู้กับความไม่เท่าเทียมกันและสร้างอนาคตที่สดใส พาวิลเลียนนี้จะเชิญชวนผู้เยี่ยมชมให้ร่วมเฉลิมฉลองผู้หญิงจากทั่วโลก ผ่านประสบการณ์และมุมมองของผู้หญิง เพื่อสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนยิ่งขึ้น

 

 

2.Country Pavilions (International Pavilions) – พาวิเลียนจากประเทศต่างๆ เช่น:

• Japan Pavilion: จะเน้นเรื่องนวัตกรรมการแพทย์ ชีวิตยืนยาว และเทคโนโลยี AI
• United States Pavilion: ภายใต้แนวคิด “Imagine What’s Next” เน้นเทคโนโลยีอวกาศ และเทคโนโลยีสีเขียว
• France Pavilion: นำเสนอเทคโนโลยีสะอาดและวัฒนธรรมฝรั่งเศสแห่งอนาคต

 

 

ส่วนประเทศไทย หรือ Thailand Pavilion มาในคอนเส็ปต์ สวรรค์ของโลกด้านการแพทย์และวัฒนธรรมเพื่อสุขภาพ

กับพาวิเลียนในชื่อ “วิมานไทย” (VIMANA THAI) ที่จัดแสดงเอกลักษณ์ไทย ผสมผสานภูมิปัญญาท้องถิ่นและนวัตกรรมใหม่ ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิด “รอยยิ้ม” ที่หยั่งรากลึกในภูมิปัญญาไทย หรือ “รอยยิ้มไทย เชื่อมโยงความสุข เป้าหมายปลายทางของชาวโลก” (“Thai-Smile Connecting Happiness World Destination”) ซึ่งได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการออกแบบและเนื้อหาภายในพาวิเลียนว่าอาจไม่สอดคล้องกัน และงบประมาณที่ใช้สูงถึง 900 ล้านบาท

 

 

3. Corporate Pavilions – จัดแสดงโดยบริษัทเอกชนชั้นนำของญี่ปุ่น เช่น:

• Panasonic: เทคโนโลยี Smart City และพลังงานสะอาด
• Toyota: ระบบการเดินทางแห่งอนาคตและรถยนต์ไร้คนขับ
• Mitsubishi Future Pavilion: การสำรวจอวกาศ เทคโนโลยีหุ่นยนต์

 

โลกอนาคตที่น่าสนใจก็มีอีกเช่น

Germany Pavilion กับการสร้างแนวคิด “Bio Sphere” เชื่อมมนุษย์กับระบบนิเวศ และแสดงการพัฒนาที่ยั่งยืน พลังงานทางเลือก และ Circular Economy

 

 

ธีมของพาวิเลียนเยอรมนีคือเศรษฐกิจหมุนเวียน และชื่อพาวิเลียนคือ “Wa! Germany”

มาจาก “Wa” ในภาษาญี่ปุ่น ที่มีความหมาย 3 ประการ คือ “Wa 輪” แปลว่า “วงกลม” เพื่อแสดงถึงการหมุนเวียน “Wa 和” แปลว่า “ความสามัคคี” และ “Wa わ” แปลว่า “ว้าว” เพื่อแสดงถึงความมหัศจรรย์

 

 

สหรัฐอเมริกา กับ United States Pavilion ใช้ธีม “The Sky is No Limit” เน้นเทคโนโลยีอวกาศ การบิน และ AI ใช้เทคโนโลยีจาก NASA และบริษัทเอกชนสหรัฐฯ

โปรยว่า ลองจินตนาการถึงสิ่งที่เราสามารถสร้างสรรค์ร่วมกันได้

พาวิลเลียนสหรัฐอเมริกาเป็นภาพสะท้อนของนวัตกรรมและความเฉลียวฉลาดของอเมริกา ประกอบด้วยอาคารสามเหลี่ยมสองหลังที่มีด้านหน้าเป็นไม้ ติดกับลูกบาศก์ที่แขวนอยู่ และเวทีการแสดง เชิญชวนให้ผู้เยี่ยมชมคิดในรูปแบบใหม่ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เป็นไปได้ในขณะที่เดินชมนิทรรศการแบบดื่มด่ำ 5 นิทรรศการที่แสดงความเป็นผู้นำของอเมริกาในด้านเทคโนโลยี การสำรวจอวกาศ การศึกษา วัฒนธรรม และผู้ประกอบการ ในความหมาย America, the Beautiful

 

 

China Pavilion – พาวิลเลียนจีน ที่มาในคอนเส็ปต์ การสร้างชุมชนแห่งชีวิตสำหรับมนุษย์และธรรมชาติ — สังคมแห่งอนาคตแห่งการพัฒนาที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Building a Community of Life For Man And Nature — Future Society of Green Development)

 

 

การออกแบบภายนอกของศาลาได้รับแรงบันดาลใจจากไม้ไผ่ หรือ ม้วนหนังสือไม้ไผ่โบราณ ที่มีตัวอักษรจีนคลี่กางออก เน้นย้ำถึงปรัชญาจีนที่ว่ามนุษย์ต้องเคารพธรรมชาติ ปฏิบัติตามวิถีธรรมชาติ และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน

 

ความน่าสนใจพิเศษอื่นๆ ภายในงาน

• มีการใช้เทคโนโลยี Digital Twin จำลองเมืองจริงแบบเสมือน

• สร้าง Virtual Expo ให้คนทั่วโลกเข้าร่วมออนไลน์ได้แบบอินเทอร์แอคทีฟ

• เปิดพื้นที่ให้กับเยาวชนและ Startups นำเสนอไอเดียในเวทีระดับโลก

• Pavilion หลายแห่งใช้ เทคโนโลยี Carbon Neutral และวัสดุก่อสร้างรีไซเคิล

• การออกแบบ สถาปัตยกรรมระดับโลก จากนักออกแบบชั้นนำ เช่น Sou Fujimoto, Kengo Kuma

 

 

ข้อมูลเกาะยูเมะชิมะ

ตั้งอยู่ในอ่าวโอซาก้า (Osaka Bay) เป็นเกาะเทียมที่มนุษย์สร้างขึ้น ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเขต Konohana-ku (โคโนะฮานะ-คุ) เป็นเกาะบริเวณปากแม่น้ำโยโดะ เมืองโอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ห่างจากย่านตัวเมืองโอซาก้าเพียงราว 10 กิโลเมตร เชื่อมต่อได้ด้วยสะพานและระบบขนส่งในอนาคต ยูเมะชิมะ แปลตรงตัวว่า "เกาะแห่งความฝัน" เริ่มก่อสร้างในช่วง ทศวรรษ 1970 (เริ่มสร้างปี 1977) เป็นโครงการถมทะเลจากดินที่เหลือจากการพัฒนาพื้นที่อื่น เดิมทีถูกใช้เป็นพื้นที่ฝังกลบของเสียอุตสาหกรรม และวางแผนให้เป็นเขตพัฒนาอุตสาหกรรม

 

ภายหลังรัฐบาลท้องถิ่นเห็นศักยภาพในการใช้เป็นเขต เมืองใหม่ในอนาคต (Smart City) จึงเริ่มพัฒนาให้เป็นพื้นที่สำหรับ โครงการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การท่องเที่ยวระดับนานาชาติ และการจัดงานมหกรรมโลก

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมและการดาวน์โหลดโลโก้อย่างเป็นทางการ สามารถเข้าชมได้ที่เว็บไซต์ทางการของงาน Expo 2025 Osaka, Kansai, Japan