รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ปฏิวัติค่าเดินทาง และ พ.ร.บ.ระบบตั๋วร่วม ที่ต้องรู้
รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายรองรับระบบตั๋วร่วม เชื่อมโยงทุกเส้นทางรถไฟฟ้าและระบบขนส่งสาธารณะ ตอกย้ำเป้าหมายค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ลดภาระค่าใช้จ่ายและเพิ่มความสะดวกให้ประชาชน คาดเริ่มใช้ได้จริงปี 2568 พร้อมตั้งกองทุนสนับสนุนนโยบายเพื่อประโยชน์ระยะยาว
KEY
POINTS
- ระบบตั๋วร่วมครอบคลุมทุกเส้นทาง: รัฐบาลเร่งผลักดันกฎหมายรองรับระบบตั๋วร่วมที่เชื่อมโยงการเดินทางในทุกเส้นทางรถไฟฟ้าและขนส่งสาธารณะ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ประชาชน
- ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย:นโยบายลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน ด้วยการกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสายไม่เกิน 20 บาท
- เริ่มใช้จริงปี 2568: คาดการณ์เปิดใช้งานระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายภายในปี 2568 พร้อมตั้งกองทุนสนับสนุนนโยบายเพื่อความยั่งยืน
รัฐบาลเดินหน้าผลักดันโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย พร้อมนำระบบตั๋วร่วมมาใช้งาน คาดเริ่มใช้ในปี 2568 โดยมีการร่างกฎหมายเพื่อให้อำนาจคณะกรรมการดำเนินการ พร้อมตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนนโยบายดังกล่าว อีกทั้งเปิดโอกาสให้ภาครัฐเจรจากับเอกชนเพื่อผลักดันโครงการตามเป้าหมาย
หลังจากล่าช้ามานานกว่า 10 ปี ระบบตั๋วร่วมสำหรับบริการขนส่งสาธารณะของไทยกำลังจะเกิดขึ้นจริง โดยเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้เห็นชอบร่างพระราชบัญญัติการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอ และรับทราบแผนการจัดทำกฎหมายลำดับรอง เพื่อรองรับการดำเนินงานตามร่างพระราชบัญญัติ
สุริยะ จึงรุ่งเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะถูกนำเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎรภายในปีนี้ โดยคาดว่าสภาจะอนุมัติภายในเดือนมิถุนายน 2568 เพื่อให้ทันตามแผนการใช้งานระบบตั๋วร่วมและรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายในเดือนกันยายน 2568
กำหนดบทนิยาม ร่างมาตรา 3 ได้แก่ “ตั๋วร่วม” หมายความว่า รูปแบบการชำระค่าโดยสาร ค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการในการขนส่ง สาธารณะทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้มาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม ไม่ว่าด้วยการใช้บัตรหรือสิ่งอื่นใดแทนการใช้บัตรก็ตาม
“ระบบตั๋วร่วม” หมายความว่า ระบบชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์สำหรับค่าโดยสารค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการ ในการขนส่งสาธารณะ ซึ่งใช้มาตรฐานทางเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วม
และ “ขนส่งสาธารณะ” หมายความว่า การขนส่งผู้โดยสารโดยระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรูปแบบทางถนน รูปแบบทางราง หรือรูปแบบทางน้ำ
เหตุผลที่ต้องมีร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
ปัจจุบัน ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม พ.ศ. 2563 สามารถบังคับใช้ได้เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ไม่ครอบคลุมภาคเอกชนที่มีบทบาทสำคัญในระบบขนส่งสาธารณะไทย ทำให้การบูรณาการระบบตั๋วร่วมอย่างครอบคลุมจำเป็นต้องใช้กลไกทางกฎหมายในระดับพระราชบัญญัติ
สาระสำคัญของร่างพระราชบัญญัติ บริหารจัดการระบบตั๋วร่วม
1. มาตรฐานกลางของระบบตั๋วร่วม
กำหนดมาตรฐานเทคโนโลยีของระบบตั๋วร่วมเพื่อให้ผู้ประกอบการทั้งภาครัฐและเอกชนสามารถใช้งานร่วมกันได้
2. การจัดตั้งกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
กองทุนนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนค่าใช้จ่ายของประชาชนที่ใช้ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงการช่วยเหลือผู้ประกอบการที่เข้าร่วมระบบ
3. ใบอนุญาตระบบตั๋วร่วม
กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ต้องการเข้าร่วมระบบตั๋วร่วมต้องยื่นขอใบอนุญาตจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โดยใบอนุญาตแบ่งเป็น 3 ประเภท และมีอายุไม่เกิน 10 ปี
4. การควบคุมดูแลและบทลงโทษ
สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) จะเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบดูแลระบบตั๋วร่วม และหากผู้ประกอบการฝ่าฝืนข้อกำหนด อาจถูกพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต
อัตราค่าโดยสารและผลกระทบ
ระบบตั๋วร่วมจะส่งผลให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายสามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยอัตราค่าโดยสารจะถูกกำหนดตามหลักเกณฑ์ที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้ใช้บริการและผู้ประกอบการ
แหล่งที่มาของเงินกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
- เงินทุนประเดิมที่รัฐบาลจัดสรรให้
- เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
- เงินค่าธรรมเนียมการออกใบอนุญาต
- เงินที่ได้รับจากผู้ได้รับใบอนุญาต
- เงินที่ได้รับจากผู้ให้บริการขนส่ง เมื่อมีสัญญาสัมปทาน สัญญาร่วมงาน หรือสัญญาร่วมลงทุน แล้วแต่กรณี มีข้อสัญญาให้ผู้ให้บริการขนส่งจะต้องส่งเงินเข้ากองทุน
- เงินค่าปรับทางปกครอง
- เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้บริจาคให้แก่กองทุน
- ดอกผลของเงินหรือทรัพย์สินของกองทุน
- เงินอุดหนุนที่รัฐบาลจัดสรรให้จากกองทุน กองทุนหมุนเวียน เงินทุน เงินทุนหมุนเวียน หรือทุนหมุนเวียน
กำหนดการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของกองทุน
- เป็นเงินส่งเสริมและอุดหนุนผู้รับใบอนุญาตเนื่องจากประกอบกิจการระบบตั๋วร่วมเพื่อให้ประชาชนผู้ใช้บริการระบบตั๋วร่วมสามารถใช้ระบบขนส่งสาธารณะด้วยความสะดวก โดยมีต้นทุน และค่าใช้จ่ายในการเดินทางตามที่ คนต. กำหนด
- เป็นเงินสนับสนุนการดำเนินงานระบบตั๋วร่วมของผู้รับใบอนุญาต เนื่องจากการนำอัตราค่าโดยสารร่วมมาประยุกต์ใช้
- เป็นเงินสนับสนุนการจัดตั้งหรือปรับปรุงศูนย์บริหารจัดการรายได้กลางที่ดำเนินการโดยหน่วยงานของรัฐ
- เป็นเงินสนับสนุนการลงทุนพัฒนาระบบจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติของผู้รับใบอนุญาต
- ให้ผู้รับใบอนุญาตกู้ยืมสำหรับดำเนินการลงทุน ปรับปรุง และพัฒนาการให้บริการระบบตั๋วร่วม
- เป็นเงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัย และพัฒนาระบบตั๋วร่วม
- เป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของกองทุน
ให้มีคณะกรรมการบริหารกองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม ที่เป็นไปตามมาตรา 18 แห่งพระราชบัญญัติการบริหารทุนหมุนเวียน พ.ศ. 2558
กองทุนส่งเสริมระบบตั๋วร่วม
แหล่งเงินทุนของกองทุนมาจากงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรร เงินค่าธรรมเนียมใบอนุญาต และเงินจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมระบบ กองทุนนี้จะถูกนำไปใช้เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของผู้ประกอบการและลดต้นทุนค่าโดยสารของประชาชน
ทิศทางในอนาคต
เมื่อกฎหมายและระบบตั๋วร่วมสามารถใช้งานได้ จะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน เพิ่มความสะดวกในการเดินทาง และส่งเสริมการใช้ขนส่งสาธารณะอย่างยั่งยืน ทั้งยังเป็นการยกระดับมาตรฐานการเดินทางในประเทศให้เทียบเท่ากับสากล
ไทม์ไลน์โครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย
เริ่มต้นแนวคิดและประกาศนโยบาย
- 24 มี.ค. 2566: พรรคเพื่อไทยปราศรัยเปิดตัวนโยบายลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าเหลือ 20 บาทตลอดสาย
- 28 เม.ย. 2566: พรรคเพื่อไทยเผยแพร่วิดีโอโปรโมตนโยบายในช่วงหาเสียง
ผลักดันและนำร่องโครงการ
- 11 ก.ย. 2566: รมว.คมนาคมประกาศนำร่องรถไฟฟ้าสายสีแดง-ม่วงใน 3 เดือน
- 16 ต.ค. 2566: ครม. อนุมัติมาตรการค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย สำหรับสายสีแดงและสายสีม่วง มีผลทันที
- 30 พ.ย. 2566: เริ่มใช้ค่าโดยสาร 20 บาทสูงสุดสำหรับการเดินทางสายสีแดง-ม่วง โดยเชื่อมต่อที่สถานีบางซ่อน
เร่งผลักดันกฎหมายและการขยายโครงการ
- 4 ม.ค. 2567: รมว.คมนาคมเสนอร่าง พ.ร.บ. ตั๋วร่วม พร้อมขยายโครงการไปยังสายอื่น
- 16 ต.ค. 2567: นายกรัฐมนตรีสั่งศึกษาแผนตั้งกองทุน 2 แสนล้านบาท เพื่อซื้อหุ้นคืนจากเอกชน
- 4 ธ.ค. 2567: ครม. เห็นชอบร่าง พ.ร.บ. การบริหารจัดการระบบตั๋วร่วม หวังผลักดันรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายให้สำเร็จภายในปี 2568
หมายเหตุ โครงการมีเป้าหมายเริ่มใช้งานระบบตั๋วร่วมเต็มรูปแบบและค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสายสำหรับทุกเส้นทางภายในปี 2568-2569


