จุดยืนเรื่องภาวะโลกร้อนและการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ 2024

อ้างอิงจากผลสำรวจระดับประเทศของ Yale University นักวิจัยจากสถาบันการสื่อสารการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Yale Program on Climate Change Communication) ค้นพบว่าชาวอเมริกันมีความกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากขึ้น หากเปรียบเทียบกับปี 2010 และยังมีแนวโน้มให้การสนับสนุนเกี่ยวกับพลังงานสะอาดมากขึ้นอีกเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตามผลวิจัยนี้ยังค้นพบความแตกต่างในด้านการรับรู้ถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อน และยังมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเกี่ยวกับความคิดเห็นด้านวิธีจัดการกับปัญหาภาวะโลกร้อนนี้ 

 

เมื่อการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกาใกล้เข้ามาทุกทีในปลายปี 2024 ผลการศึกษานี้สามารถนำไปวิเคราะห์เกี่ยวกับฐานคะแนนเสียงหรือนโยบายหาเสียงได้  สิ่งใดเป็นปัจจัยหลักให้ผู้ลงคะแนนเลือกลงคะแนนให้กับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ อีกหนึ่งประเด็นที่สำคัญคือ การศึกษานี้ได้ทำการศึกษาในปีที่ประชาชนได้ประสบกับช่วงเวลาที่อุณหภูมิโลกมีความร้อนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์,คลื่นความร้อนสูง, พายุทอร์นาโด, และไฟป่าที่สร้างความเสียหายสูงต่อสภาพแวดล้อมเป็นประวัติการณ์  

 

 

ถึงแม้ว่าประเด็นเรื่องภาวะโลกร้อนยังห่างไกลจากการได้รับความร่วมมือจากทั้งสองพรรค (Bi-partisan Agreement) แต่ผลสำรวจนี้เปิดเผยว่าความเชื่อและการรับรู้เกี่ยวกับผลกระทบของภาวะโลกร้อนมีแนวโน้มสูงขึ้นในหลายๆรัฐ  Jennifer Marlon นักวิจัยอาวุโสที่ Yale Program on Climate Change Communication ขยายความผลสำรวจว่า แนวโน้มที่สูงขึ้นเกิดขึ้นจริงแม้แต่ในรัฐที่มีความเป็นอนุรักษ์นิยมสูง (นิยมพรรครีพลับลิกัน) เช่น รัฐเท็กซัสหรือรัฐนอร์ทแคโรไลนา ผลสำรวจในรัฐดังกล่าวบ่งชี้ว่า ประชาชนรับรู้ถึงผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนเป็นเรื่องจริงสูงขึ้นถึง 72% ในปี 2023เมื่อเปรียบเทียบกับเพียง 60% ในปี 2010 หรือในรัฐอินเดียนาก็เพิ่มจาก 65% ในปี 2023 จาก 55%ในปี 2010 แต่อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจในด้านการตระหนักรู้ถึงสาเหตุของภาวะโลกร้อนมีเพียง 58% ของชาวอเมริกันเท่านั้นที่ตระหนักว่า มนุษย์เป็นสาเหตุหลักของการเกิดภาวะโลกร้อน

 

แม้ว่าเราไม่สามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงในเชิงวิทยาศาสตร์ถึงผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อมนุษย์ได้ แต่ทว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่ก็ยังไม่เชื่อสนิทใจว่าภาวะโลกร้อนล้วนเกิดจากฝีมือมนุษย์ทั้งสิ้น ผลการศึกษาในบางรัฐพบว่า ความเชื่อที่ว่ามนุษย์เป็นผู้กระทำนั้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 46% ในปี 2010 เป็น 51% ในปี 2023 เช่น ในรัฐเทนเนสซี ซึ่งแนวโน้มที่สูงขึ้นอาจเกิดจากการการสนับสนุนด้านนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของภาครัฐ เช่น การลดภาษี solar panels และรถยนต์ไฟฟ้าประหยัดพลังงาน (EV)

 

 

ผลสำรวจเกี่ยวกับความคิดเห็นต่อภาวะโลกร้อนจากสถาบันวิจัยอื่น เช่น PEW Research Center พบว่า 2/3 ของชาวอเมริกันสนับสนุนการพัฒนาพลังงานหมุนเวียนเพื่อทดแทนพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล นอกจากนั้น ผลการศึกษาของ University of Colorado Boulder พบว่า 2/3 ของชาวอเมริกันจัดลำดับให้ปัญหาภาวะโลกร้อนเป็นประเด็นที่สำคัญลำดับต้นๆต่อชีวิตของพวกเขา ซึ่งสอดคล้องกับผลสำรวจ Exit Poll ของสำนักข่าว NBC News เช่นกัน

 

ความคิดเห็นต่อปัญหาโลกร้อนอาจมีความแตกต่างกันระหว่างผู้สนับสนุนของพรรค Democrats และ พรรค Republicans แต่หากเรามองย้อนกลับไปในผลสำรวจการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2020 มีคะแนนเสียงมากถึง 2.4 ล้านคะแนนที่โหวตให้กับ Joe Biden เพราะจุดยืนของเขาต่อเรื่อง Climate Change ซึ่งต่างกันโดยสิ้นเชิงกับนาย Donald Trump ที่มีจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อภาวะโลกร้อนโดยให้คำนิยามว่าเป็น “hoax” (สิ่งหลอกลวง)

 

แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าประเด็นเรื่องภาวะโลกร้อนจะไม่ใช่ประเด็นหลักในการหาเสียงเมื่อเทียบกับด้านอื่นๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม จุดยืนด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือประเด็นเรื่องการจัดการผู้อพยพในประเทศ  การเลือกตั้งที่สำคัญที่สุดของสหรัฐอเมริกาในช่วงเดือนพฤศจิกายนปี 2024 นี้จะมีความสำคัญต่อการกำหนดทิศทางของนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศสหรัฐอเมริกาและของโลกเช่นกัน

 

 

ที่มาของข้อมูลอ้างอิง:

• Chow, Denise & Cain, Chase (2024, January 25), Americans are warming to climate change – but they can’t agree after that. NBC News. Available at: https://www.nbcnews.com/science/environment/americans-are-warming-climate-change-cant-agree-rcna135131

• Marlon, Jennifer et al. (2024, January 23), Yale Climate Change Opinion Maps 2023, Yale Program on Climate Change Communication. Available at: https://climatecommunication.yale.edu/visualizations-data/ycom-us/

 

ดร.ณัทกฤช อภิภูชยะกุล

ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน