LPN กวาดยอดขายไตรมาส 1 กว่า 6,500 ล้าน
LPN เปิดขาย 3 โครงการใหม่ไตรมาส 1 ปี 2553 กวาดยอดขาย 6,550 ล้าน เกินครึ่งหนึ่งของเป้าขายทั้งปี 13,000 ล้าน นับเป็นยอดขายรายไตรมาสที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี
LPN เปิดขาย 3 โครงการใหม่ไตรมาส 1 ปี 2553 กวาดยอดขาย 6,550 ล้าน เกินครึ่งหนึ่งของเป้าขายทั้งปี 13,000 ล้าน นับเป็นยอดขายรายไตรมาสที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี
ซึ่งเป็นการทุบสถิติการขายต่อเนื่องมาจากไตรมาส 4 ปี 2552 ส่งผลให้มี Backlog และสินค้าอยู่ระหว่างการขายรวมประมาณ 18,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในปีนี้ไปจนถึงปี 2554 ด้านการขยายมาตรการภาษีของภาครัฐ ส่งผลดีต่อการโอนในไตรมาส 2 อีก 2 โครงการใหญ่ย่านพระราม 9 และ บางแคที่เป็นไปตามเป้าหมาย โดยทั้ง 2 โครงการมีมูลค่าโครงการรวมกว่า 3,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เผยไตรมาส 1 ปี 2553 บริษัทสามารถสร้างยอดขาย 6,550 ล้านบาท จากการเปิดตัว 3 โครงการใหม่ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ บางแค ลุมพินี เพลส รัชโยธิน และลุมพินี เพลส พระราม 4-กล้วยน้ำไท โดยนับเป็นยอดขายที่สูงที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งเกิดจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อแบรนด์ “ลุมพินี” และความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมืองให้คึกคักมากยิ่งขึ้น ทำให้คาดว่าตลอดทั้งปี 2553 บริษัทจะมีรายได้จากการขายประมาณ 9,600 ล้านบาท โดยมาจากยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) และจากการขายโครงการที่จะแล้วเสร็จในปี 2553 รวมประมาณ 10,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่จะแล้วเสร็จในปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการและประสบความสำเร็จด้านยอดขายตั้งแต่ช่วงกลางปี 2552 และสามารถก่อสร้างได้เสร็จในไตรมาส 4 ปี 2553 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพและความคล่องตัวของบริษัทในการปรับเปลี่ยนทิศทางการดำเนินงานให้รองรับกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลง เห็นได้จากการที่บริษัทต้องชะลอการเปิดตัวโครงการตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2551 จนถึงไตรมาส 1 ปี 2552 เนื่องจากวิกฤติการเงินโลกและการเมืองในประเทศ ซึ่งเมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มชัดเจนขึ้น บริษัทก็พร้อมเปิดตัวโครงการใหม่ทันที และดำเนินการในด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผลประกอบการของบริษัทกลับสู่สภาวะปกติ
สำหรับนโยบายบัญชี ในปี 2553 บริษัทได้เปลี่ยนนโยบายบัญชีจากมาตรฐานการบัญชีฉบับที่ 26 เรื่อง “การรับรู้รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์” หรือรับรู้ตามอัตราส่วนของงานเสร็จ มาเป็นฉบับที่ 18 เรื่อง “รายได้” หรือรับรู้เมื่อโอนความเสี่ยงและผลตอบแทน ทำให้บริษัทต้องปรับงบการเงินย้อนหลังสำหรับปี 2552 ซึ่งทำให้เกิดความแตกต่างด้านการเปรียบเทียบ แต่ไม่ได้กระทบกับผลการดำเนินงานของบริษัทในปีปัจจุบัน
งบกระแสเงินสด ณ 31 มีนาคม 2553 และ 2552 มีเงินสดสุทธิลดลง 418.41 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 39.21 เกิดจากการซื้อที่ดินรวม 2 แปลง มูลค่า 943.0 ล้านบาท สำหรับพัฒนาโครงการลุมพินี เพลส รัชโยธิน และโครงการลุมพินี เพลส พระราม 4–กล้วยน้ำไท โดยบริษัทยังคงมีสัดส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลง 0.19:1 เหลือ 0.17:1 ตามลำดับในไตรมาส 1 ปี 2552-2553
ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ บริษัทเชื่อมั่นว่าด้วยการขยายมาตรการภาษีของภาครัฐจนถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2553 ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์อย่างมาก จะส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ใน 2 โครงการคือ ลุมพินี วิลล์ บางแค และลุมพินี เพลส พระราม 9 เฟส 1 ในเดือนพฤษภาคมเป็นไปตามเป้าหมาย สามารถรับรู้รายได้ทั้งจำนวน ซึ่งทั้ง 2 โครงการมีมูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท ทำให้ 9 เดือนที่เหลือของปี 2553 บริษัทจะรับรู้รายได้อีกประมาณ 8,200 ล้านบาท จาก 6 โครงการ รวมตลอดทั้งปีเท่ากับ 9,600 ล้านบาท ดังนั้น ท่ามกลางการเมืองที่ร้อนแรง จึงพบว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งยอดขายและยอดโอนของบริษัท ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าการเปิดตัวโครงการใหม่ตามเป้าทั้งปีคือ 6-8 โครงการ โดยตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 13,000 ล้านบาท


