posttoday

ส่องตลาดที่อยู่อาศัย มิลเลนเนียลกำลังซื้อใหม่

18 ธันวาคม 2561

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี 2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั้งปีมีการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2560

เรื่อง อรวรรณ จารุวัฒนะถาวร

เข้าสู่โค้งสุดท้ายของปี 2561 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ตลอดทั้งปีมีการฟื้นตัวดีขึ้นต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2560 แม้ว่าช่วงไตรมาส 3 ปีนี้แนวโน้มตลาดจะค่อนข้างชะลอตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ทว่ามาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้มีการโอนกรรมสิทธิ์มากขึ้นในช่วงปลายปี 2561 ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2562

สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปี 2562 ยังคงมีปัจจัยความท้าทายที่ยังต้องเฝ้าระวัง ไม่ว่าจะเป็นมาตรการแบงก์ชาติที่จะบังคับใช้ในวันที่ 1 เม.ย. 2562 ที่อาจส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ชะลอตัวทั้งฝั่งอุปทานและอุปสงค์ ขณะที่การเลือกตั้งทั่วไปอาจส่งผลทำให้ตลาดชะลอตัวในระยะสั้น นอกจากนี้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังมีความผันผวนอาจกระทบต่อกำลังซื้อและทำให้หนี้ครัวเรือนสูงขึ้น

กมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ ในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรู กรุ๊ป เปิดเผยว่ามาตรการของ ธปท. จะเป็นการผลักดันให้ผู้ประกอบการเร่งระบายสินค้าคงค้างผ่านแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ เพื่อช่วยเร่งให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อ ทำให้การซื้อ-ขาย อสังหาฯ มากขึ้นในช่วงปลายปี 2561 ไปถึงไตรมาสแรกปี 2562 และอาจจะเริ่มชะลอตัวหลังจากเดือน เม.ย. 2562

ทั้งนี้ ผู้บริโภคควรเริ่มให้ความสำคัญกับการสร้างและปรับปรุงเครดิตทางการเงินของตนเองให้ดีขึ้น ขณะเดียวกันเห็นว่าผู้บริโภคที่สามารถรับกับความเสี่ยงได้ดีและมีกำลังในการถือครองสินทรัพย์ที่ยาวนาน มีโอกาสที่จะได้กำไรจากมูลค่าของอสังหาฯ ที่เพิ่มขึ้นในอนาคต

ในส่วนของดีเวลอปเปอร์นั้น คาดว่าผู้ประกอบการจะยังคงพัฒนาโครงการในตลาดระดับกลาง-บน ราคาตั้งแต่ 8 ล้านบาทขึ้นไป เพราะไม่ได้รับผลกระทบและมีกำลังซื้อ ทั้งนี้สะท้อนจากดัชนีราคาที่อยู่อาศัยราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป เติบโตขึ้นถึง 14% ในรอบ 1 ปี

ด้านตลาดระดับกลาง-ล่าง ราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ฟื้นตัวจากสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และภาวะหนี้ครัวเรือนที่แม้จะลดลงแต่ก็ยังคงอยู่ในระดับสูง ผู้ประกอบการจะเลือกพัฒนาโครงการเฉพาะในพื้นที่ที่มีอุปสงค์สูง รวมทั้งหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากกว่าแนวสูง ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์มากกว่าซื้อเพื่อเก็งกำไร นอกจากนี้ โครงข่ายคมนาคมรวมถึงการพัฒนาเขตพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เป็นปัจจัยเสริมที่จะทำให้อุปทานกระจายออกไปยังพื้นที่ชานเมือง ปริมณฑล และจังหวัดทางภาคตะวันออกมากขึ้น

จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาฯ ล่าสุด พบว่าความพึงพอใจของผู้บริโภคปรับตัวลดลงจาก 61% มาอยู่ที่ 57% เมื่อเปรียบจากการสำรวจครั้งก่อนหน้า โดยสัดส่วน 70% เห็นว่าราคาอสังหาฯ สูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น ขณะที่สัดส่วน 61% เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ออกมาตรการใดๆ ที่จะช่วยสนับสนุนให้ผู้บริโภคสามารถซื้อที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น และ 61% รู้สึกว่าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวดี คาดว่าความพึงพอใจมีแนวโน้มปรับตัวลดลงหลังจากมาตรการแบงก์ชาติบังคับใช้

ส่องตลาดที่อยู่อาศัย มิลเลนเนียลกำลังซื้อใหม่

ขณะที่ผู้บริโภค 83% เห็นว่าอสังหาฯ จะมีมูลค่าสูงขึ้น ภายใน 1-5 ปี และ 41% กำลังพิจารณาซื้ออสังหาฯ ในอีก 6 เดือน ซึ่งขยับขึ้นจาก 36% ในครึ่งปีหลัง 2560 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ แม้จะมีความต้องการว่าจะตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย แต่หากในอีก 6 เดือนข้างหน้า ราคาอสังหาฯ ยังสูงเกินเอื้อมถึงก็อาจซื้อไม่ได้จริง

สำหรับตลาดที่น่าจับตามองคือ กำลังซื้อของกลุ่มมิลเลนเนียล กลุ่มนี้มีแนวโน้มจะกลายเป็นตลาดใหญ่ของภาคอสังหาฯ ในอนาคตอันใกล้ เนื่องจาก 45% มีแผนที่จะแยกออกไปอยู่เอง เมื่ออายุ 35 ปีขึ้นไป ขณะที่ 65% มีแผนการเก็บเงินในแต่ละเดือนเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยระดับราคา 1-4 ล้านบาท เป็นราคาที่คาดว่าจะมีกำลังซื้อ

ปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกที่อยู่อาศัยอันดับ 1 ถึง 95% ยังคงเป็นเรื่องของทำเล โดย 36% ระบุทำเลที่ต้องการอันดับ 1 คือ กรุงเทพฯ รอบนอก รองลงมา 26% เลือกโซนศูนย์กลางธุรกิจใหม่ (นิวซีบีดี)ได้แก่ รัชดาภิเษก ลาดพร้าว และพระราม 9 เป็นต้น

“ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังมองว่าอสังหาฯ ในปัจจุบันมีราคาสูงกว่าที่ควรจะเป็นและภาวะเศรษฐกิจยังไม่ปรับตัวดีขึ้น จึงชะลอการซื้ออสังหาฯ ออกไปก่อน และต้องการให้รัฐบาลกำหนดเกณฑ์ราคาของอสังหาฯ ที่เปิดขายใหม่ อีกทั้งควรมีมาตรการช่วยเหลือผู้ซื้อบ้านหลังแรก รวมถึงควบคุมอุปทานของอสังหาฯ ทุกประเภท” กมลภัทร กล่าว

พร้อมกันนี้ ยังคาดการณ์ว่าผลสำรวจความพึงพอใจรอบต่อไปจะมีแนวโน้มปรับตัวลดลงหลังจากมาตรการควบคุมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้ผู้บริโภคต้องวางเงินดาวน์มากขึ้น และต้องมีความพร้อมทางด้านการเงินที่มากขึ้นหากมีบ้านหลังที่ 2